ก้าวไกล เผยมีสัญญาณบวกจาก ส.ว.หนุน “พิธา”

พรรคก้าวไกล 25 พ.ค.-รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล เผยมีสัญญาณในทางบวกจาก ส.ว. หนุน “พิธา” เป็นนายกฯ ยืนยันไม่มี “แทงข้างหลัง” บอกอยู่ระหว่างเจรจาจัดสรรตำแหน่ง รมต. เชื่อเพื่อไทย-ไทยสร้างไทย ขัดแย้ง ไม่บานปลาย


น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงความคืบหน้าการเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาล ว่าหลังจากที่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ได้มีการลงนามความเข้าใจในการร่วมรัฐบาล ได้รับสัญลักษณ์ในเชิงบวก จากพรรคร่วมรัฐบาลและสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) มีความเข้าใจและยอมรับในหลักการที่จะยกมือให้กับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเรายังคงเดินหน้าเจรจากับส.ว.เป็นรายบุคคล และเชื่อมั่นว่านายพิธาจะได้รับการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรี และขณะนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เริ่มรับรองผลการเลือกตั้งแล้ว หากรับรองเร็ว ก็คาดว่าการจัดตั้งรัฐบาลน่าจะเสร็จภายใน 2 สัปดาห์

“กระบวนการเจรจาเป็นการสื่อสารผ่านสื่อสาธารณะและมีการพูดคุยในรายบุคคล และมี ส.ว.บางส่วนที่ออกมาเปิดเผยว่าจะโหวตอย่างไร ในหน้าสื่อฯ เรียบร้อย ซึ่งเราก็ให้เกียรติและเคารพ ส.ว. ทุกคน และมีบางส่วนที่พูดคุย แต่ยังไม่ประกาศ ขณะนี้รวบรวมได้ประมาณ 16-20 คน มั่นใจว่าจะการพูดคุยสัญญาณเป็นไปในทางบวก และน่าจะได้เสียงครบถ้วนเพียงพอที่จะโหวตนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ การเจรจาน่าจะจบลงอย่างรวดเร็วและไม่น่าจะเกิน 2 สัปดาห์” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว


ส่วนกระแสตั้งรัฐบาลแข่งนั้น รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลเชื่อว่าน่าจะเป็นข่าวลือ แม้จะมีการพูดคุยกันจริง แต่ไม่เชื่อว่าเป็นการพูดคุยเพื่อเจรจาจัดตั้งรัฐบาลแข่ง และยังเชื่อมั่นในพรรคร่วมรัฐบาลว่าจะสามารถร่วมมือกันในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ให้สำเร็จ แม้จะมีข่าวลือต่างๆ ออกมาก็ตาม พร้อมส่งสารไปถึงพรรคร่วมฝ่ายค้านในขณะนี้ว่า ถ้าหากมีหัวใจที่รักในประชาธิปไตยและยังยืนยันการเป็นประชาธิปไตย ถ้าเห็นล็อกเงื่อนปมตรงนี้ที่จะพาประเทศออกจากทางตัน ขอให้มาร่วมโหวตให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลที่มีความชอบธรรมได้สำเร็จ พร้อมยืนยันว่าไม่มีการแทงข้างหลัง ยึดมั่นใน MOU ที่จะซื่อสัตย์ต่อกัน และได้พยายามสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา อะไรที่คิดว่าเป็นข้อกังวล ว่าจะไม่จริงใจต่อกันก็สามารถพูดคุยกันได้

ส่วนห่วงหรือไม่ว่า หากพรรคเพื่อไทยไม่ได้ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร จะทำให้พรรคเพื่อไทยถอนตัวนั้น น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ตนคิดว่าพรรคเพื่อไทยเล็งเห็นว่าความหวังที่ประชาชนมอบให้ในภารกิจจัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และและยังมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะอยู่ร่วมรัฐบาลกับเราต่อไป ไม่ว่าจะมีตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ก็ตาม ส่วนจำนวน ส.ส.ของพรรคก้าวไกลที่ลดลงไป 1 ที่นั่ง เท่ากับตอนนี้มี ส.ส. 151 ที่นั่ง ก็ไม่ได้กระทบกับการร่วมรัฐบาลแต่อย่างใด

“ตอนนี้เราไม่มีความเชื่อใดๆ ว่าพรรคเพื่อไทยจะถอนตัวจากการ ร่วมรัฐบาลในครั้งนี้หลังจากที่พูดคุยกันหลายครั้ง และลงนามใน MOU เรียบร้อย จึงมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทย จะไม่ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลในครั้งนี้” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว


รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ยืนยันว่ามีความจำเป็นที่จะต้องมีตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกล เพราะนอกจากการใช้อำนาจ ฝ่ายบริหารแล้ว ยังจะต้องใช้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติเชื่อมโยงกัน เพื่อผลักดันกฎหมายของพรรค เพราะทราบดีว่าตำแหน่งประธานสภาฯมีบทบาทสำคัญ ต่อการผลักดันกฎหมาย และเพื่อผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย นำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มาจากสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง และเรื่องนี้เขียนไว้ใน MOU ของพรรคร่วมรัฐบาลเช่นเดียวกัน ดังนั้นจำเป็นต้องมีประธานรัฐสภาที่แน่วแน่และมีเจตจำนงที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ขณะเดียวกันต้องการผลักดันให้เกิดรัฐสภาที่โปร่งใสและสร้างความมีส่วนร่วมของประชาชน โดยนอกจากให้มีการถ่ายทอดสดการประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้ว จะผลักดันให้มีการถ่ายทอดสดการประชุมคณะกรรมาธิการและอนุกรรมาธิการของสภา เพื่อความโปร่งใส และเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล จะจัดตั้งสภาเยาวชนเพื่อมีพื้นที่ให้กับเยาวชน ในการแสดงออก และสื่อสาร

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่าการที่พรรคมี ส.ส. อันดับ 1 จะขอตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไรและเรามีวาระชัดเจนที่จะผลักดัน และเป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยกันว่าวาระเหล่านี้เราจะประสานงานกันอย่างไรต่อไป ส่วนจะเป็นใครในพรรคก้าวไกลมี ส.ส.หลายคนที่จะเหมาะสมดำรงตำแหน่งนี้ ซึ่งไม่ใช่แค่ควบคุมการประชุม แต่จะต้องขับเคลื่อนประชาธิปไตยด้วย มั่นใจว่าคนของพรรคมีวุฒิภาวะพอในการที่จะทำงาน และยืนยันว่าในอดีตอาจจะมีประธานสภาผู้แทนราษฎรที่อายุน้อย ซึ่งไม่ใช่ประเด็นและเห็นว่าเป็นการให้โอกาสที่จะต้องเข้ามาทำ ไม่เช่นนั้นการเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้น หากยังติดความอาวุโสมากเกินไป

รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นช่วงเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาลในการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี และพูดคุยในนโยบายอื่นที่เห็นต่างกันนอกจาก MOU เช่นที่พูดกันมากคือค่าแรง 450 บาท ซึ่งพรรคไม่ขัดข้องที่จะดำเนินนโยบายเรื่องนี้ แต่ยังมีอีกหลายนโยบาย เช่น เรื่องกระเป๋าเงิน 10,000 บาท จึงต้องพิจารณาว่าสิ่งที่ดำเนินการจะมีผลกระทบต่องบประมาณอย่างไร

ส่วนที่ยังมีข้อกังวล เรื่องการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ขอยืนยันว่า วัตถุประสงค์ในการนำกลับไป เพื่อให้เจ้าพนักงานทำงานได้อย่างเต็มที่ แต่ก็เข้าใจถึงความกังวล ซึ่งยืนยันจะคุ้มครองประชาชน รวมทั้งผู้ประกอบการและผู้ปลูก โดยจะดูแลไม่ให้เกิดผลกระทบกับผู้ที่ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายอย่างแน่นอน และในขั้นตอนต่อไปจะพูดคุยในเรื่องของการออกประกาศเพื่อคุ้มครอง ผู้ที่จดทะเบียนถูกต้องในการปลูกการจำหน่าย

เมื่อถามถึงโควตารัฐมนตรี น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่าพรรคยืนยันตัววาระและนโยบายที่จะทำเป็นหลัก ส่วนเรื่องการเจรจาต่อรองก็ต้องไปพูดคุยในรายละเอียดว่า ใครได้กระทรวงไหนอย่างไร

“ในส่วนของพรรคก้าวไกลจะเป็นส่วนผสมจากคนในและคนนอก คงต้องจัดสรรบางส่วนอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมและคงสะท้อนจำนวนที่นั่ง ส.ส. ในสภาด้วย โดยกระบวนการต่อรองยังคงดำรงต่อเนื่อง ส่วนที่มีข่าวว่าส่วนตัวอาจจะได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีความพร้อมหรือไม่นั้น หากพรรคมอบหมายและเป็นมติของพรรคก็ยินดีที่จะรับ” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

ส่วนพรรคก้าวไกลจะขอดูกระทรวงแรงงานหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นนโยบายของพรรคที่บรรจุไปแล้ว ก็จำเป็นต้องพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลหารือในประเด็นต่างๆ เช่นเดียวกัน โดยไม่อยากให้ส่งสัญญาณว่ามีการเลือกกระทรวงแต่อย่างใด เพราะกระบวนการเจรจาเรื่องตำแหน่งยังไม่เสร็จสิ้น หากจะยึดนโยบายของพรรคเป็นหลักอย่างเดียวก็เท่ากับเป็นการไม่ให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล

ส่วนโผ ครม.ที่ออกมาเป็นการคาดการณ์และคาดหวังของหลายๆ ฝ่าย แต่คงต้องรอให้การเจรจายุติหรือสิ้นสุดลงให้ได้ผลที่แน่ชัดเพื่อยืนยันเรื่องนี้อีกครั้ง

รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า แกนนำและหัวหน้าพรรคยังได้เดินสายพูดคุยกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และต้องขอบคุณที่ยอมรับในความสามารถของนายพิธา และพรรคยืนยันว่านโยบายของพรรคเน้นความสามารถสร้างความเติบโตในทางเศรษฐกิจที่เป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ และจะเดินหน้าประสานต่อเนื่องทั้งสภาแรงงาน สภาหอการค้าไทย เชื่อมั่นว่าการพูดคุยตรงนี้จะทำให้ทุกฝ่ายมีความเชื่อมั่นกับนโยบายของพรรคมากขึ้น

ส่วนที่โรงงานจะปิดตัวจากนโยบายขึ้นค่าแรง 450 บาทนั้น คิดว่าหลายผู้ประกอบการน่าจะกังวลใจเรื่องต้นทุนที่จะสูงขึ้น แต่พรรคยังคงเดินหน้ายืนยันว่าจะมีมาตรการที่จะช่วยเหลือเยียวยาอย่างเหมาะสม และแน่นอนว่าหลายบริษัทอาจจะกังวล แต่ยังคงที่จะเปิดรับฟังความคิดเห็นว่าจะทำอย่างไรที่จะเดินหน้าไปพร้อมๆ กันได้เมื่อค่าแรงต้องเพิ่มขึ้น

ส่วนกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ไปร้องว่าการทำ MOU อาจจะผิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.นั้น รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ไม่กังวลว่า MOU จะผิด พ.ร.บ.พรรคการเมือง เพราะไม่ได้มีผลผูกพันทางกฎหมาย.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

พลทหารยิงชาวบ้านเจ็บ 2 ก่อนหนีเข้าป่า จบชีวิตตัวเอง

สุรินทร์ 15 ส.ค. – ตื่นตระหนก เหตุพลทหารที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ชายแดน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ควงปืนอาวุธประจำกาย ออกมายิงชาวบ้าน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ก่อนจะหลบหนี และสุดท้ายปลิดชีพตนเอง ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนหาสาเหตุ ติดตามได้จากรายงานของศูนย์ข่าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.-สำนักข่าวไทย

ไล่ล่าโจรชิงทอง 123 บาท กลางห้างย่านบางบ่อ

สมุทรปราการ 15 ส.ค. – ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ เรียกประชุมตำรวจที่เกี่ยวข้อง แกะรอยหาเบาะแส ไล่ล่าโจรชิงทองห้างย่านบางบ่อ ยืนยันจำนวนทอง 123 บาท มูลค่ากว่า 6 ล้าน ขณะที่พนักงานยังผวาทุกครั้งที่เห็นคนใส่ชุดไรเดอร์เดินเข้าห้าง จากเหตุการณ์คนร้ายแต่งกายด้วยชุดไรเดอร์ สวมกางกางยีนขายาวสีดำ รองเท้าผ้าใบสีขาว เดินเท้าบุกเดี่ยวมาที่ร้านทอง แล้วชักอาวุธปืนพกแบบออโตเมติก สีบอร์นซ์ ขู่บังคับให้พนักงานขายทองซึ่งเป็นหญิง 3 คน หยิบทองรูปพรรณส่งให้คนร้าย แต่พนักงานขายทองไม่หยิบส่งให้ และหมอบลงกับพื้น คนร้ายจึงกระโดดข้ามตู้ทองด้านหน้าร้าน ไปเลื่อนกระจกตู้ทองด้านหลัง หยิบเอาทองคำรูปพรรณ มีสร้อยข้อมือ หนัก 5 บาท 5 เส้น น้ำหนัก 25 บาท น้ำหนัก 3 บาท 30 เส้น น้ำหนักรวม 90 บาท, หนัก 2 บาท 24 เส้น รวม 48 บาท […]

ย้าย “ลุงพล” มาคุมขังต่อที่เรือนจำกลางนครพนม

15 ส.ค. – เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ย้ายตัว “ลุงพล” จำเลยคดีน้องชมพู่ ไปควบคุมต่อที่เรือนจำกลางนครพนม ด้าน “ป้าแต๋น” ตามมาเยี่ยมให้กำลังใจสามี บอกเอาหัวใจมาฝาก ยืนยันลุงพลสู้ต่อถึงฎีกา หลังเมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เพิ่มโทษ นายไชย์พล วิภา หรือ “ลุงพล” จำเลยที่ 1 จาก 20 ปี เป็น 26 ปี และยกฟ้อง นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ “ป้าแต๋น” ในคดีฆ่า เด็กหญิงอรวรรณ หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ขวบ หลังหายตัวจากบ้านพัก ขณะนั่งเล่นกับพี่สาวที่บ้าน กกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เหตุเกิดช่วงเช้าวันที่ 11 พ.ค.2563 ต่อมาจำเลย ได้ยื่นหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราว และวานนี้ ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ประกันตัว […]

สส.เพื่อไทย ให้กำลังใจ “แพทองธาร” ผ่านอุปสรรคกลับมารับใช้ประชาชน

รัฐสภา 15 ส.ค.-สส.เพื่อไทย ให้กำลังใจ “แพทองธาร” ผ่านอุปสรรคกลับมารับใช้ประชาชน ด้านเจ้าตัวยิ้มสู้-ยังเข้มแข็ง กำชับ สส.ทำงานสภาเต็มที่ ลงพื้นที่ดูแลประชาชนใกล้ชิด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร​ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระที่สอง วันสุดท้าย ซึ่ง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้เดินทางเข้ามาติดตามการประชุม ตลอด 3 วันที่ผ่านมา โดยในช่วงเช้า สส.พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ สส.เขต ได้มีการเข้าพบหารือกับนางสาวแพทองธาร ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อปรึกษาปัญหาในพื้นที่ รวมถึงเรื่องการผลักดันนโยบายต่างๆ ที่จะลงในพื้นที่ เนื่องจากในหลายจังหวัดมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมทุกด้าน แต่ยังขาดเรื่องการประชาสัมพันธ์ จึงอยากให้นางสาวแพทองธาร ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมผลักดันเกี่ยวกับซอฟพาวเวอร์ และจัดกิจกรรมอีเวนท์ต่างๆเพื่อ ให้จังหวัดนั้นๆเป็นที่รู้จักมากขึ้น นอกจากนี้ บรรดา สส. ของพรรคยังได้ให้กำลังใจนางสาวแพทองธาร เนื่องจากกลัวว่า อาจมีความเครียดและกังวลเรื่องคดีความ พร้อมขอให้นายกฯสู้ๆ เข้มแข็ง ผ่านอุปสรรคไปได้และได้กลับมาทำงานเพื่อประชาชน ขณะที่นางสาวแพทองธาร ยังคงยิ้มแย้ม แสดงความเข้มแข็ง และขอให้ สส.ทุกคน เดินหน้าทำหน้าทำงานในสภาอย่างเข้มแข็งเช่นกัน […]