มูลนิธิป่ารอยต่อฯ 15 เม.ย.- “พล.อ.ประวิตร” ยันพปชร.ไม่ออกนโยบายกระทบวินัยการเงินการคลัง ถ้าได้เป็นรัฐบาลเดินหน้าบัตรสวัสดิการรัฐ 700 แก้ปัญหาน้ำ ที่ดิน ดันแก้ค้ามนุษย์ขึ้นเทียร์ 1 ภายในปีหน้า ยังไม่คิดเรื่องจับขั้ว รอผลเลือกตั้ง ดูนโยบาย อุดมการณ์ต้องทางเดียวกัน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์รายการ “คุยตามข่าว” ซึ่งออกอากาศทาง MCOT HD หมายเลข 30 โดยกล่าวถึงจุดเด่นของพรรคโดยย้ำถึงการก้าวข้ามความขัดแย้ง ประชาชนจะต้องไม่ทะเลาะกัน นำพาประเทศไปสู่ความรุ่งเรือง ส่วนความคิดเห็นทางการเมืองของแต่ละคนเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ พรรคมีจุดมุ่งหมายเข้ามาแก้ไขปัญหาความยากจน แก้ปัญหาน้ำ ปัญหาที่ดินที่อยู่นอกระบบ เพื่อให้ประชาชนพ้นความยากจน อยู่ดีกินดี นักการเมืองจะทะเลาะกันเป็นเรื่องของสภาผู้แทนราษฎร เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของสภาฯ ให้ไปว่ากันเอง แต่ประชาชนต้องร่วมมือกัน
“ที่ผ่านมาแม้ผมดูแลในนามของรัฐบาล แต่ผมเป็นคนทำ ทั้งเรื่องประมง ผมต้องการให้ประมงชายฝั่งจับปลาได้ตลอดด้วยการทำบัตรประมง ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับประมงพาณิชย์ แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องค้ามนุษย์ แรงงานบางคนไม่ได้กลับบ้าน 5-6 ปี ตกน้ำตาย เสียชีวิตกลางทะเล ซึ่งที่ผ่านมา เราแก้ไขปัญหาได้มาก ผมจะแก้ไขให้ขึ้นมาที่เทียร์ 1 ในปีหน้า ส่วนปัญหาปาล์มราคาน้ำมันตกต่ำ ผมเข้ามาแก้ไขจนตอนนี้ราคาสูงจากเดิมแล้ว” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าว
พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงนโยบายแรกที่จะทำถ้าได้เป็นรัฐบาล คือนโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาท เรื่องการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญต่อประชาชนที่จะส่งผลต่อการประกอบอาชีพทางการเกษตรด้วย เรื่องที่ทำกิน เมื่อประชาชนมีที่ทำกินของตัวเอง ทั้งสองสิ่งนี้จะยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนได้ เราพยายามทำ one map ว่าหน่วยงานใดที่รับผิดชอบอย่างชัดเจนไม่ให้เกิดการซ้ำซ้อน
ส่วนที่พรรคการเมืองผุดนโยบายประชานิยมมาแข่งขันกัน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ากังวล ว่าจะส่งผลกระทบต่องบประมาณ พรรคพลังประชารัฐจะไม่ออกนโยบายที่ส่งผลกระทบ เราจะทำอย่างถูกต้อง ต้องดูว่าจะเอาเงินมาจากไหน ที่มาของเงินต้องชัดเจน พรรคพลังประชารัฐจะดูแลคนที่มีรายได้น้อยไม่ถึงแสนต่อปี ผ่านกลไกลงบประมาณรัฐ
พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงความมั่นใจว่าจะได้คะแนนยกจังหวัดในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ ว่าที่จังหวัดสุมทรสาคร เพชรบูรณ์ พะเยา กำแพงเพชร กาญจนบุรี สระแก้วและสมุทรปราการ แม้ว่านายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหมจะเสียชีวิตก็ไม่ส่งกระทบ ส่วนในภาคเหนือและอีสาน ขอให้ได้จังหวัดละ 1-2 คน จังหวัดหนองคาย 1 คน ส่วนจะได้ทั้งหมดกี่คนนั้น อยู่ที่ประชาชน แต่อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 70 คน
ส่วนการจะร่วมกับพรรคใดจัดตั้งรัฐบาล หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ต้องดูว่าปประชาชนจะเลือกพรรคไหน ค่อยมาว่ากัน ยืนยนว่าไม่เคยดีลกับพรรคไหน ไม่เคยพบใคร และถ้าพรรคได้มากกว่า 251 เสียงเราตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ไม่รวมกับใคร แต่ยืนยันว่าจะไม่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ส่วนจะจับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมหรือไม่นั้น การจะจับมือตั้งรัฐบาลด้วยกัน ต้องดูผลเลือกตั้ง ดูนโยบาย อุดมการณ์ต้องตรงกัน เช่นเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ถ้าเห็นไม่ตรงกัน ก็ทำงานด้วยกันยาก การร่วมรัฐบาลต้องมีทิศทางเดียวกัน แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องอีกนาน อย่าเพิ่งคิด
“ถ้าพลังประชารัฐได้คะแนนมากที่สุด ผมก็เป็นนายกฯ แต่ถ้าน้อยกว่าก็ให้ลุงตู่เป็น วัดกันที่คะแนน จริง ๆ ก็เสียงเดียวกัน แต่เมื่อนายกฯ(พล.อ.ประยุทธ์) ต้องการไปทางนู้น(รวมไทยสร้างชาติ) ก็ไม่ว่าอะไร พรรคนี้(พลังประชารัฐ) ผมก็เป็นคนทำมา เพื่อให้ลุงตู่ ให้น้องผมเป็นนายกฯ ซึ่งผมก็ทำสำเร็จมาแล้ว” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าว
พล.อ.ประวิตร ยืนยันว่า ความสัมพันธ์พี่น้องที่มีอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้แตกแยกกัน แต่เรื่องทางการเมืองก็ว่ากันไป
หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงเรื่องทำอาหาร ว่า เป็นคนชอบทำอาหาร เมนูง่าย ๆ ทำได้หมด ส่วนที่ชอบทำกุ้งกระเทียม เพราะคุณพ่อชอบรับประทาน เป็นเมนูประจำครอบครัว และเคยทำให้พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและพล.อ.ประยุทธ์รับประทานตั้งแต่รับราชการทหารสมัยเป็นเด็ก ๆ ด้วยกัน
“ผมเป็นคนง่าย ๆ กินง่าย พูดน้อย แต่ทำมาก มีคนพยายามจะบอกว่าร่างกายของผมไม่แข็งแรง แต่จริง ๆ แล้วแข็งแรง 100 % ไม่อย่างนั้นไปไม่ได้ทุกจังหวัดหรอก ปกติผมตื่นตี 4 ออกจากบ้านตี 5 มาถึงมูลนิธิฯ ก่อน 6 โมง ก็มีคนมารอพบแล้ว กลับบ้าน 2 ทุ่ม ผมได้รับการสั่งสอนมา พ่อแม่สอนให้ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ผมตัวคนเดียว ไม่มีอะไร ก็อยากทำงานเพื่อประชาชน ให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองต่อไป” พล.อ.ประวิตร กล่าว.-สำนักข่าวไทย