ชู “พล.อ.ประวิตร” นายกฯ บ้านเมืองสงบ

กรุงเทพฯ 28 ก.พ.-“นฤมล” ยัน “บัตรป้อม 700” ทำได้จริง เกลี่ยงบแก้ปัญหาเหลื่อมล้ำมาใช้ เตรียมเปิดนโยบายระดับภาค ยันไม่ดีลกับใคร รอผลเลือกตั้งก่อน มั่นใจ “พล.อ.ประวิตร” นายกฯ คนที่ 30 บ้านเมืองสงบ


นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึง นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรป้อม 700 ว่า ก่อนคลอดนโยบายดังกล่าวได้หารือในที่ประชุมและมีหลายความเห็น มีหลายตัวเลขที่นำเสนอ เพื่อต้องการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืนใน 4 มิติและ 700 บาทเป็นตัวเลขที่พรรคพิจารณาแล้วอย่างรอบคอบว่าสามารถทำได้

ส่วนนโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติหรือพรรคอื่น ที่ออกมาทีหลัง ตัวเลข 1,000 บาท หรือในอนาคตอาจสูงกว่า นางนฤมล กล่าวว่า ไม่อยากให้พรรคพลังประชารัฐ มีภาพนโยบายประชานิยมหรือแจกเพียงอย่างเดียวแต่ต้องการให้เห็นภาพ นโยบายพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในระยะยาว มีสวัสดิการประชารัฐ เศรษฐกิจประชารัฐ และสังคมประชารัฐ 3 เรื่องหลัก ต้องบอกประชาชนชัด ๆ ว่าเศรษฐกิจฐานรากจะทำอะไร วิสาหกิจชุมชนเศรษฐกิจชุมชนมีอะไรบ้างที่เติมเช่นกองทุนหมู่บ้านหรือรูปแบบอื่น


“เป็นเรื่องธรรมชาติปกติที่ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง มักแข่งขันด้านนโยบายกัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับประชาชนที่จะดูถึงความเป็นไปได้ ไม่ส่งผลภาระงบประมาณการคลังระยะยาว ไม่กระทบต่อการจ่ายภาษีเป็นภาระหนี้ของประเทศในระยะยาว เพราะท้ายที่สุดจะทำไม่ได้อย่างยั่งยืน” นางนฤมล กล่าว

สำหรับข้อสงสัยว่าจะนำงบประมาณจากส่วนไหนมาดำเนินการ  นางนฤมล กล่าวว่า จะจัดสรรเกลี่ยงบประมาณจากการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมาใช้ และจะมีเฉพาะบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่จะนำเงินไปช่วยคนมีรายได้น้อย และจะเกลี่ยเม็ดเงินตรงอื่นมาแก้ให้ตรงจุด เพราะตรงนี้ถือเป็นการให้ปลา แต่ต้องฝึกจับปลา เป็นการฝึกทักษะอาชีพ ให้เบ็ดตกปลา และแก้ปัญหาหนี้สินโดยเฉพาะหนี้นอกระบบ

“พรรคเปิดนโยบายต่อยอดบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การดูแลประชาชนให้ครบ4 มิติ นโยบาย มีเรามีที่ทำกิน มีที่ดินไม่มีจน และมีน้ำไม่มีจน ส่วนนโยบายเร่งด่วนหลังจากนี้คือเรื่องค่าของชีพ ที่จะช่วยประชาชนทั่วไปซึ่งแบกภาระ หากตรึงราคาพลังงานลงมาได้ในแนวทางที่เป็นไปได้จะได้ช่วยลดภาระประชาชน ลดค่าของชีพจึงจะมีนโยบายมาตรการด้านพลังงานซึ่งขณะนี้ยังคุยกันอยู่เรื่องตัวเลขและวิธีการในรายละเอียด แต่รอตัวเลขที่เป็นไปได้ไม่ส่งกับผลกระทบและยั่งยืน เพราะไม่อยากให้สัญญาแล้วทำไม่ได้ จึงต้องรับฟังข้อเสนอจากหลายฝ่าย เพราะห่วงเรื่องภาระการคลัง เรื่องราคาพลังงานซับซ้อน” นางนฤมล กล่าว


นางนฤมล กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐยังเตรียมนโยบาย ระดับภาค ที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่และภาคต่าง ๆ จึงจะออกนโยบายเป็นรายภาคเหนือ กลาง อีสาน ใต้ และอยากให้เกิดเขตเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละภาค เพื่อดึงเศรษฐกิจและการจ้างงานความเจริญไปสู่แต่ละภาคไม่ให้กระจุกตัวอยู่ในตัวเมืองหรือมีแค่อีอีซีในภาคตะวันออกเท่านั้นแต่อยากให้เกิดทั่วทั้งประเทศซึ่งเป็นแนวคิดของคณะทำงานที่เสนอกัน และรับฟังจากคนในพื้นที่โดยตรง เมื่อเกิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ ก็มีนโยบายเศรษฐกิจประชารัฐจะเข้าไปจับสานต่อ

นางนฤมล ยืนยันความพร้อมนโยบายชุดใหญ่ ของพรรคพลังประชารัฐ แต่รายละเอียดส่วนอื่นๆ หมวดหมู่การนำเสนอในรูปแบบป้ายหาเสียงสื่อสารไปยังประชาชน จะทยอยออกมา เพราะต้องรอดูในสังเวียน ว่า จะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ในลำดับต่อๆไปจะเน้นเศรษฐกิจชุมชน เศรษฐกิจฐานราก เอสเอ็มอี ที่จะทำให้กับพี่น้องคนตัวเล็กให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว เช่นเดียวกับ เรื่องการวางตัวบุคคล

“ไม่กังวลเรื่องคนจะออกจากพรรค ยอมรับว่าเมื่อ4-5 เดือนที่ผ่านมาค่อนข้างกังวล แต่ขณะนี้พรรคเปิดตัวไป 98-99% แล้ว แม้บางคนที่ยังไม่ออกแต่ก็มีความชัดเจนว่าจะไม่อยู่กับพรรคได้แจ้งและได้เตรียมตัวว่าที่ผู้สมัครคนอื่นไว้รองรับแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังจะมีคนเข้ามาร่วมงานกับพรรคอีกเรื่อยๆ จนถึงภาวะล้นมีผู้ประสงค์ลงสมัครมากกว่าจำนวนเขตที่มี แต่ ยังไม่มีบิ๊กดีลเหมือนพรรคสร้างอนาคตไทยก่อนหน้านี้

ส่วนในพื้นที่กทม. นางนฤมล กล่าวว่า เดิมได้ 12 ที่นั่งเกิน1 ใน 3 ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ตั้งเป้ารักษาที่นั่งไว้เดิมให้ได้ ซึ่งกทม.มีลักษณะแตกต่างกับพื้นที่อื่น ไม่ได้ตัดสินใจที่นโยบาย อาจตัดสินใจที่ตัวผู้สมัครหรือจุดยืนของพรรคพลังประชารัฐ หรือสิ่งที่พรรคไหนทำแล้วมีความหวัง ทำให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดัก หลุดจากความเป็นขั้วทางการเมืองที่ทะเลาะกันมาร่วม 20 ปี

“ที่ผ่านมาคนกรุงเทพฯ มักให้โอกาสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสมอ แต่การให้โอกาสกลับกลายเป็นความขัดแย้งขึ้นมาได้อีก ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่อยากทะเลาะจึงอยากเลือกพรรคที่ไม่มีฝักฝ่ายหรือพรรคที่อยู่ฝั่งประชาชนซึ่งเป็นจุดยืนเดียวกันกับพรรคที่ต้องการทำงานเพื่อประชาชนไม่ต้องการทะเลาะกับใคร ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไร จึงเอาจุดยืนเมื่อปี 2562 มาใช้อีกครั้ง คือเรื่องของการก้าวข้ามความขัดแย้ง” นางนฤมล กล่าว

นางนฤมล กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐไม่จับขั้วทางการเมือง เปิดดีล กับเพื่อไทย หรือพรรคการเมืองอื่น กระแสที่ออกมาเป็นการคาดการณ์ของคนนอก ยืนยันไม่มีพรรคการเมืองไหนพูดคุยกันล่วงหน้า เพราะต้องรอดูผลลัพธ์จากการเลือกตั้ง เพราะถ้าจับมือกันก็ต้องหลบเลี่ยงเบี่ยงให้กัน แต่พลังประชารัฐสู้ทุกที่ทุกเขต หลายพื้นที่ในภาคอีสานสู้กับพรรคเพื่อไทย จึงไม่มีดีลแน่นอน แต่หลังเลือกตั้งออกมาแล้ว ใครได้เท่าไหร่จะทำอะไรให้ประชาชนบ้าง จุดยืนคืออะไร ตรงนั้นค่อยมาเจรจากัน หลังเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐมีจุดยืนทำงานร่วมกับทุกพรรค เพราะขั้วของพรรคคือประชาชน และต้องการยุติความขัดแย้งในประเทศ

นางนฤมล กล่าวถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคคือพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคเพียงคนเดียว  ส่วนที่พรรคถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะได้ที่นั่งน้อยกว่าครั้งที่ผ่านมาก็น้อมรับคำวิจารณ์เพื่อมาวิเคราะห์ตัวเอง เพราะเป็นประโยชน์จากสิ่งที่คนอื่นมองเข้ามาให้เราเห็นว่าเราต้องแก้ตรงไหน ไม่ได้เห็นว่าเป็นคำปรามาส แต่มองเป็นคำแนะนำ เพราะยังปรับตัวได้จนถึงวันเลือกตั้ง

“ทุกคนในพรรคเห็นตรงกันหมดว่าพล.อ.ประวิตร มีจุดเด่นคือความตั้งใจที่จะทำให้ประชาชน เวลาไปสั่งงานที่ไหน เวลาลงพื้นที่ เวลาประชุม จะบอกว่าให้เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง อย่าเอาว่าเป็นพวกใคร ถ้าประชาชนได้ประโยชน์ต้องทำให้ ไม่ใช่ให้ทำในสิ่งที่พรรคได้เปรียบ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่สำคัญ ที่จะเป็นผู้นำพาประเทศเพื่อขจัดความขัดแย้ง บุคลิกลักษณะความตั้งใจเป็น เช่นนั้น” นางนฤมล กล่าว

นางนฤลมล เชื่อว่า หากพล.อ.ประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ความสงบจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง ตัวพล.อ.ประวิตรและพรรคพลังประชารัฐจะไม่เข้าไปเป็นคู่ขัดแย้ง ทุกอย่างมีจุดร่วม จะเห็นการเมืองนิ่งได้ และถ้าทำได้จริง ก้าวข้ามความขัดแย้งได้จริง จะเกิดเสถียรภาพทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองและประเทศจะเดินไปได้.-สำนักข่าวไทย        

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดขณะลาดตระเวน สูญเสียขาอีก 1 นาย

12 ส.ค.- ทหารพรานเหยียบทุ่นระเบิด ขณะลาดตระเวนพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม หลังรั้วลวดหนามฝั่งไทย คาดทหารเขมรล่าถอยแล้วฝังทุ่นระเบิดไว้ เมื่อเวลา 09.10 น. รายงานข่าวจากกองทัพพื้นที่สองเปิดเผยว่า ได้เกิดเหตุทหารพราน 2610 เหยียบกับระเบิดขณะทำการลาดตระเวนบริเวณฐานจุ๊บตาโมก ฝั่งตะวันตกของปราสาทตาเมือนธม ซึ่งอยู่ในแนวรั้วลวดหนามของฝั่งประเทศไทย บริเวณพิกัด R51 มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย ทราบชื่อ ส.อ.ธีรพล เพียขันที กรุ๊ปเลือด AB ได้รับบาดเจ็บขาซ้ายขาด ขณะนี้กำลังนำส่งโรงพยาบาล ทั้งนี้ คาดว่าหลังจากเหตุปะทะกันทางทหารกัมพูชาได้ล่าถอยและฝั่งทุ่นระเบิดไว้ก่อนออกนอกพื้นที่เขตประเทศไทย -สำนักข่าวไทย

“แพทองธาร” ปัดตอบกระแสข่าวชิงลาออก บอกสื่อ “คิดถึงนะคะ”

สนามหลวง 12 ส.ค.- “แพทองธาร” ยิ้ม ปัดตอบกระแสข่าวชิงลาออก ก่อนศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน บอกสื่อฯ “คิดถึงนะคะ” ภายหลังนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคู่สมรส ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 ส.ค.2568 ณ ท้องสนามหลวง ทันทีที่พบผู้สื่อข่าว นางสาวแพทองธาร หันมาพูดเพียงสั้น ๆ ว่า “คิดถึงนะ” ผู้สื่อข่าวจึงพยายามสอบถามเรื่องกระแสข่าวการลาออกจากตำแหน่ง ก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสิน คดีคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งนางสาวแพทองธาร ยิ้มและไม่ตอบคำถาม ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ หรือสุดท้ายจะอยู่ รวมถึงขอให้ยืนยันว่าจะลาออกหรือไม่ ซึ่งนางสาวแพทองธาร ไม่ได้ตอบคำถาม และเดินทางขึ้นรถทันที.-315 -สำนักข่าวไทย

“ภูมิธรรม” นำทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันแม่แห่งชาติ

สนามหลวง 12 ส.ค.- “ภูมิธรรม” เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา “พระพันปีหลวง” 12 สิงหาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2568 โดยมีประธานองคมนตรีและภริยา คณะองคมนตรีและภริยา ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หน่วยราชการในพระองค์ คณะรัฐมนตรีพร้อมคู่สมรส เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพและภริยา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและภริยา ปลัดกระทรวงทุกกระทรวง และผู้แทนภาคเอกชน ร่วมพิธี โดยเมื่อนายภูมิธรรม เดินทางถึงปะรำพิธีท้องสนามหลวง สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ จำนวน 10 รูป ขึ้นนั่งอาสน์สงฆ์ นายภูมิธรรม จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ถวายคำนับและถวายธูปเทียนแพหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ จำนวน […]

เตือนทั่วไทยฝนตกต่อเนื่อง ‘ตะวันออก’ หนักสุด

กทม. 12 ส.ค.- กรมอุตุฯ เผยทั่วไทยฝนตกต่อเนื่อง เตือนภาคตะวันออกรับมือฝนถล่ม อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย เนื่องจากมีร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ ประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1 – 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น “โพดุล” (PODUL) บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก คาดว่าจะเคลื่อนผ่านเกาะไต้หวัน และเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณด้านตะวันออกของประเทศจีนในช่วงวันที่ 13 – 14 ส.ค. โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย – สำนักข่าวไทย