กทม. 12 ต.ค.- ตัวแทนกลุ่มผู้ใช้ทรู-ดีแทค เซ็ง หลัง กสทช. เลื่อนเคาะควบรวมธุรกิจ ลั่นยื้อไม่จบสิ้นเหมือนซีรีส์เกาหลีจนคนดูเริ่มเบื่อ ตั้งข้อสงสัยใครได้รับประโยชน์ตัวจริง พร้อมจับตาดู 20 ต.ค.นี้ จะเดินหน้าหรือถอยหลัง
นายจิรวิทย์ กุลพัฒน์จัตุพร ในฐานะตัวแทนกลุ่มผู้ใช้งานทรู-ดีแทค เปิดเผยหลังทราบข่าวว่าคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือบอร์ด กสทช. ยังไม่ลงมติพิจารณาการควบรวมกิจการทรูและดีแทค โดยระบุว่าหลังจากที่เมื่อวาน (11 ต.ค.) ตัวแทนกลุ่มผู้ใช้งานทรู-ดีแทค จำนวนเกือบ 30 คน ได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อบอร์ด กสทช. เพื่อแสดงจุดยืนและรักษาสิทธิในฐานะที่เป็นผู้บริโภคตัวจริง พร้อมยื่นหนังสือขอให้เร่งพิจารณากรณีควบรวม หลังยืดเยื้อมานาน มั่นใจควบรวมยิ่งเร็ว ผู้บริโภคยิ่งได้รับประโยชน์ โดยคาดหวังว่าในวันนี้ (12 ต.ค.) กสทช. จะได้ตัดสินใจหรือลงมติในกรณีเสียที เนื่องจากยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน ผู้ใช้งานทรูและดีแทคต้องการให้เร่งพิจารณาการรวมธุรกิจ เพราะหากล่าช้าจะทำให้ผู้ใช้งานเสียโอกาสที่จะได้ใช้โครงข่าย เครือข่ายร่วมกัน ได้ใช้โครงข่าย 5G อย่างครอบคลุมทุกพื้นที่มากขึ้น รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ลูกค้าจะได้รับจากการรวมธุรกิจอีกด้วย เพราะปัจจุบันการใช้บริการเครือข่ายมือถือมีจำเป็นอย่างมากในการใช้ชีวิตประจำวัน และลูกค้าทุกค่ายโทรศัพท์มือถือต้องการจะได้รับบริการที่ดีขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ ไม่ได้เป็นกังวลในด้านราคาค่าบริการที่นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ของ กสทช. หรือ TDRI และสภาองค์กรผู้บริโภคบอกว่าราคาจะสูงขึ้นกว่า 200% ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้เลย เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีกว่าราคาค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นถูกกำหนดและควบคุมโดย กสทช.
“แต่จากที่ทางกลุ่มได้ติดตามข้อมูลข่าวสารมาโดยตลอด ได้ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมกระบวนการพิจารณาเรื่องการควบรวมนี้ถึงล่าช้า มีการดึงเกม เหมือนมีขบวนการ และอ้างถึงประโยชน์สาธารณะตลอด ซึ่งทำให้สงสัยว่าใครคือผู้ได้รับประโยชน์ที่แท้จริง จากการยื้อไปไม่จบสิ้นเหมือนดูหนังเกาหลี ซึ่งไม่จบสักที คนดูก็เริ่มเบื่อ และก็เห็นแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ใครอยู่เบื้องหลัง ในฐานะผู้ใช้งานทรูและดีแทค ก็ถือเป็นประชาชนคนหนึ่งของประเทศ เราไม่อยากรอลุ้นอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่า กสทช. จะยึดตามตัวบทกฎหมายเพื่อความถูกต้องต่อไป ทั้งนี้ จะรอดูต่อไปว่าวันที่ 20 ต.ค.ที่จะถึงนี้ กสทช. จะเดินหน้า หรือถอยหลัง กับกรณีนี้” นายจิรวิทย์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย