กรุงเทพฯ 28 ส.ค.-คลัง เผยเศรษฐกิจไทยในเดือน ก.ค.68 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 หลังมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ เริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคม 2568
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกรกฎาคม 2568 ว่า “สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม 2568 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 สอดคล้องกับการบริโภคในหมวดสินค้าคงทนที่ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนและการท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งสัญญาณชะลอตัวจากเดือนก่อน ทั้งนี้ จำเป็นต้องติดตามทิศทางการส่งออกสินค้าครึ่งปีหลังและการผลิตอุตสาหกรรม ภายหลังมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ เริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในด้านต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป” โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน: โดยปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่และปริมาณรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ในเดือนกรกฎาคม 2568 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 1.7 และ 6.4 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 2.8 และ 8.8 ตามลำดับ ขณะที่รายได้เกษตรกรที่แท้จริง ในเดือนกรกฎาคม 2568 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -4.3 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ในเดือนกรกฎาคม 2568 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 51.7 จากระดับ 52.7 ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า และค่าครองชีพสูง รวมถึงความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณชะลอตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน (ตัวเลขเบื้องต้น) ในเดือนกรกฎาคม 2568 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 17.7 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 0.8 ขณะที่ปริมาณรถยนต์เชิงพาณิชย์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนกรกฎาคม 2568 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ –10.2 แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 6.0 สำหรับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือนกรกฎาคม 2568 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -4.2 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -0.8
มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน: โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ 28,580.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 ที่ร้อยละ 11.0 และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า ขยายตัวที่ร้อยละ 16.6 ตามการขยายตัวของสินค้าในหมวดเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ โดยขยายตัวร้อยละ 61.0 54.9 และ 44.1 ตามลำดับ นอกจากนี้ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง น้ำตาลทราย และไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 107.7 36.2 และ 9.8 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี การส่งออก ยางพารา ข้าว และสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ปรับตัวลดลง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นในตลาดสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 31.4 23.1 และ 7.1 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ตลาดทวีปออสเตรเลีย ลดลงร้อยละ -11.5
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน โดยเฉพาะบริการด้านการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอตัว ขณะที่ผลผลิตสินค้าเกษตรยังคงขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน: โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนกรกฏาคม 2568
มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 2.61 ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -15.9 และลดลง เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -0.6 ขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศมีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนกรกฏาคม 2568 จำนวน 21.8 ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -0.5 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -1.5 ขณะที่ภาคการเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ในเดือนกรกฎาคม 2568 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 7.8 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 2.8 ตามการเพิ่มขึ้นในหมวดพืชผลสำคัญ อาทิ ยางพารา ข้าวโพด และผลผลิตในหมวดไม้ผล เป็นต้น อย่างไรก็ดี ผลผลิตมันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน ลดลงจากเดือนก่อน สำหรับภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนกรกฎาคม 2568 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 86.6 จากระดับ 87.7 ในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยกดดันจากความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดน ปัญหาอุทกภัยในภาคเหนือ และกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัว ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของไทย ในเดือนกรกฎาคม 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 51.9 จากระดับ 51.7 ในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากคำสั่งซื้อสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้น
เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี: สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ร้อยละ -0.70 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.84 ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ร้อยละ 64.2
ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2568 ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 261.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
สถานการณ์เศรษฐกิจการเงินโลกปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า: สะท้อนจาก ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของทั่วโลก (Global Composite PMI) ในเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 52.4 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 51.7 จุด และดัชนีอยู่สูงกว่าระดับ 50.0 จุด บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกมีทิศทางขยายตัวเร่งขึ้น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของทั่วโลกภาคการผลิต (Global Manufacturing PMI) ในเดือนกรกฎาคม 2568 ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 49.7 จุด จากระดับ 50.4 จุด ในเดือนก่อนหน้า โดยดัชนีกลับมาหดตัวอีกครั้งหลังจากขยายตัวในเดือนก่อนหน้า จากปริมาณการผลิต และปริมาณคำสั่งซื้อใหม่ที่ลดลง ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของทั่วโลกภาคบริการ (Global Service PMI) ในเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 53.4 จุด ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 51.8 จุด และยังอยู่สูงกว่าระดับ 50 จุด บ่งชี้ทิศทางการขยายตัวต่อเนื่องของภาคบริการเป็นเดือนที่ 31 ติดต่อกัน
ด้านสถานการณ์การท่องเที่ยวทั่วโลกยังคงขยายตัวดีในหลายประเทศ ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศต่าง ๆ มีทิศทางปรับลดลงตามอัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ความตึงตัวในตลาดการเงินทั่วโลกเริ่มมีทิศทางที่ผ่อนคลายลง ในส่วนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
ภาพรวมภาวะตลาดการเงินไทยล่าสุดเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวบางส่วน: โดยเฉพาะในตลาดทุน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มนักลงทุนบุคคลทั่วไปในประเทศ หลังจากที่ในเดือนกรกฎาคมมียอดขายสุทธิ แต่ในเดือนสิงหาคมกลับมาซื้อสุทธิอีกครั้ง โดยในเดือนสิงหาคม (ข้อมูลสะสมถึงวันที่ 22 สิงหาคม 2568) นักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิรวม 7,520.61 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปี (YTD) อยู่ในระดับสูงที่ 96,084.51 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายย่อยต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แม้จะมีแรงขายบางช่วงเพื่อทำกำไรระยะสั้น ขณะที่กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงมีการซื้อสุทธิรวม 1,504.57 ล้านบาท
แม้ภาพรวมตั้งแต่ต้นปีจะยังเป็นการขายสุทธิ -10,860.41 ล้านบาท ส่วนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิเล็กน้อย 318.67 ล้านบาท สำหรับกลุ่มนักลงทุนต่างชาติพบว่ามีแรงขายสุทธิกลับเข้ามาอีกครั้ง โดยในเดือนสิงหาคมมียอดขายสุทธิรวม -9,343.84 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -71,894.29 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันจากความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจโลกและความผันผวนของค่าเงินบาท สำหรับตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ -9,066 ล้านบาทในเดือนสิงหาคม แต่เมื่อพิจารณายอดสะสมตั้งแต่ต้นปี นักลงทุนต่างชาติยังคงถือสถานะซื้อสุทธิรวม 18,132.07 ล้านบาท ซึ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพทางการคลังและพันธบัตรรัฐบาลไทยในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้แรงซื้อจะชะลอตัวลงก็ตาม ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอนและแนวนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักที่ยังคงอยู่ในระดับตึงตัว.-515.-สำนักข่าวไทย