พระนครศรีอยุธยา 11 ก.ย. – อธิบดีกรมชลประทานตรวจสถานการณ์น้ำเขื่อนพระรามหก สั่งลดการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักฯ และพระรามหก เพื่อให้การระบายน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างทำได้สะดวกขึ้น บรรเทาผลกระทบภาวะน้ำท่วมขังพื้นที่ลุ่มต่ำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
นายสุริยพล นุชอนงค์ อธิบดีกรมชลประทาน ติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา และลุ่มน้ำป่าสักเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในจังหวัดพระนครศรีอยุยา เนื่องจากปัจจุบันมีการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 1,900 ลบ.ม./วินาที ขณะที่ปริมาณน้ำที่สถานี C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ มีไหลผ่าน 2,060 ลบ.ม./วินาที ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
จากวันนี้จนถึงวันที่ 15 กันยายน กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนตกชุกต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะส่งผลให้ปริมาณน้ำไหลลงลุ่มน้ำเจ้าพระยาและป่าสักชลสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง กรมชลประทานบริหารจัดการน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ด้วยการหน่วงน้ำไว้ด้านเหนือ พร้อมรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่ง ตามศักยภาพของคลอง ลดผลกระทบด้านท้ายน้ำ แต่พื้นที่นอกคั้นกันน้ำยังคงที่ได้รับผลกระทบได้แก่ คลองโผงเผง จังหวัดอ่างทอง คลองบางบาล ตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา ตำบลลาดชิด ตำบลท่าดินแดง อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่อยู่ติดกับแม่น้ำน้อย



กรมชลประทานได้จัดจราจรน้ำ โดยทยอยลดการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์จาก 200 ลบ.ม./วินาที เหลือ 150 ลบ.ม./วินาที ตั้งแต่วันที่ 8 กันยายนเป็นต้นมา ซึ่งจะทำให้น้ำที่ไหลมายังเขื่อนพระรามหกลดลง ส่งผลให้การระบายน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งบรรจบกับแม่น้ำป่าสักที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาทำได้สะดวกขึ้น ตลอดจนระบายน้ำเข้าสู่คลองสาขาต่างๆ อาทิ คลองระพีพัฒน์ คลองพระยาบันลือ และคลองชัยนาท–ป่าสัก เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูกและชุมชนท้ายน้ำ หากปริมาณฝนที่จะเติมลงมาในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ในห้วงนี้ไม่มาก จะทยอยลดการระบายลงเหลือ 100 ลบ.ม./วินาที เพื่อให้การระบายน้ำแม่น้ำเจ้าพระยามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอีก
ในระยะยาว กรมชลประทานได้วางแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ โดยปรับปรุงคลองพระยาบันลือและคลองระพีพัฒน์ให้รองรับน้ำได้ จากเดิมที่สามารถรับน้ำได้ 200 ลบ.ม./วินาที เป็น 400 ลบ.ม./วินาที พร้อมก่อสร้างคลองผันน้ำใหม่เชื่อมแม่น้ำป่าสัก – แม่น้ำเจ้าพระยาและพัฒนาเขื่อนทดน้ำป่าสัก เพื่อรองรับปริมาณน้ำและแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน. – 512 – สำนักข่าวไทย