กทม.-30 ก.ย.- ตำรวจ สตม.จับหนุ่มแสบ หลอกเจ้าของโรงแรมดังช่วยขายกิจการ เซ่นพิษโควิด-19 สูญเงินกว่า 33 ล้านบาท
พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม.และ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม. ร่วมกันแถลงผลงานเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปชก.สตม.ในการจับกุม นายธีรเสฏฐ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น”
พฤติการณ์ คือ ผู้เสียหายซึ่งประกอบอาชีพเป็นเจ้าของกิจการโรงแรมในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว ได้ประกาศขายกิจการโรงแรม 3 แห่ง เนื่องจากประสบภาวะขาดทุนด้านการเงินอย่างหนักในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ เชื้อไวรัสโควิด-19 ต่อมา ได้มีนายหน้าติดต่อสอบถามเรื่องการซื้อขายกิจการโรงแรมกับผู้เสียหาย และแนะนำให้รู้จักกับบุคคล ใช้ชื่อ “ไบรอั้น” (ทราบชื่อภายหลัง คือ นายธีรเสฏฐ์ ผู้ต้องหา) โดยนายไบรอั้น อ้างว่าเป็นเลขาของนายทุนจากประเทศสิงคโปร์ สนใจจะซื้อกิจการโรงแรม 3 แห่ง ซึ่งผู้เสียหายได้พูดคุยกับนายไบรอั้น เรื่อยมาจนมีความสนิทสนมเชื่อใจ ต่อมา นายธีรเสฏฐ์ หรือไบรอั้น ได้ปลอมเป็นนายทุนชาวสิงคโปร์ ใช้ชื่อ MR.JANG (นายจาง) โทรศัพท์ติดต่อขอซื้อกิจการโรงแรมจากผู้เสียหายทั้งสิ้นกว่า 4.3 พันล้านบาท แต่เมื่อใกล้ถึงกำหนดการทำสัญญาซื้อขายนายธีรเสฏฐ์ แจ้งว่าเงินสดจำนวนกว่า 6 พันล้านบาท ที่จะนำเข้ามาจากประเทศสิงคโปร์ติดปัญหาเรื่องภาษีอยู่ที่กรมสรรพากรทำให้ยังไม่สามารถนำเงินออกมาได้ โดยมีการแอบอ้างว่าเพื่อให้ธุรกิจการซื้อขายกิจการโรงแรมเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว จะต้องมีการจ่ายเงินค่าดำเนินการให้กับบุคคลระดับสูงและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายราย และพูดจาหว่านล้อมผู้เสียหายให้โอนเงินเข้าบัญชีของนายธีรเสฏฐ์ เพื่อจะได้นำเงินไปมอบให้ตามที่กล่าวอ้าง ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้นำทั้งเงินสดไปให้ด้วยตนเองและโอนเงินเข้าบัญชีของนายธีรเสฏฐ์ เรื่อยมา ตั้งแต่เดือน กรกฎาคม 2563 ถึง กันยายน 2564 รวม 276 ครั้ง มูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 32,810,000 บาท
เมื่อผู้เสียหายพยายามถามถึงนายทุนชาวสิงคโปร์และบุคคลที่นายธีรเสฏฐ์ กล่าวอ้างว่าจะพาไปพบนั้น กลับถูกนายธีรเสฏฐ์ บ่ายเบี่ยงเรื่อยมา ทำให้ผู้เสียหายเกิดความสงสัยเนื่องจากได้โอนเงินให้นายธีรเสฏฐ์ ไปจำนวนหลายล้านบาทแต่ยังไม่มีความคืบหน้าเรื่องการซื้อขายกิจการโรงแรมแต่อย่างใด จึงได้นำเรื่องดังกล่าวเข้าร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สตม. ให้ช่วยสืบสวนว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ชุดสืบสวน สตม. จึงได้ร่วมกันพิสูจน์ทราบจนพบว่า MR.JANG, ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และบุคคลระดับสูง และนายธีรเสฏฐ์หรือไบรอั้น คือบุคคลคนเดียวกัน ซึ่งจะติดต่อผู้เสียหายทางโทรศัพท์และมีการปลอมเสียงเป็นบุคคลต่างๆ จากการตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ ที่ผู้เสียหายติดต่อกับบุคคลที่นายธีรเสฏฐ์ กล่าวอ้างก็พบว่าผู้เปิดใช้หมายเลขโทรศัพท์คือนายธีรเสฏฐ์ เช่นกัน ผู้เสียหายจึงเชื่อว่าตนถูกหลอกให้โอนเงิน และได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน
ชุดสืบสวน สตม. จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานมอบให้ สน.ปทุมวัน ดำเนินการขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหา โดยเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2564 ชุดสืบสวนฯ ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายธีรเสฏฐ์ฯ ได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น” ตามหมายจับศาลอาญา กรุงเทพใต้ ที่ 473/2564 ลงวันที่ 27 กันยายน 2564 โดยนายธีรเสฏฐ์ รับว่าตนเป็นผู้หลอกลวงนายหน้าให้ไปติดต่อกับผู้เสียหายเพื่อประสานงานซื้อขายกิจการโรงแรม และแนะนำให้ผู้เสียหายรู้จักกับตน อีกทั้ง ตนคือผู้ปลอมเสียงเป็นบุคคลระดับสูงและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เอง รวมถึงนายทุนชาวสิงคโปร์ (MR.JANG) มีการนำรูปภาพบุคคลที่กล่าวอ้างมาจากใน Internet ส่งให้ผู้เสียหายดูเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือว่ามีตัวตนและสามารถช่วยเหลือผู้เสียหายได้จริง จากการตรวจค้นสัมภาระของนายธีรเสฏฐ์ฯ ซึ่งน่าเชื่อว่าได้มาจากการหลอกลวงผู้เสียหายและใช้กระทำความผิด พบเงินสด จำนวน 184,000 บาท , โทรศัพท์มือถือ , สมุดบัญชีธนาคาร , บัตรกดเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ รวมจำนวน 23 รายการ ซึ่งชุดจับกุม สตม. ได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.-สำนักข่าวไทย