บช.น.เตรียมพร้อมรับมือการชุมนุม “ม็อบ22สิงหา”

กทม. 22 ส.ค.-บช.น.แถลงเตรียมความพร้อมรับมือการชุมนุมกลุ่มทะลุฟ้า บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และกลุ่มทะลุแก๊ส ถนนดินแดงและถนนวิภาวดีรังสิต ช่วงเย็นวันนี้ ขอประชาชนเลี่ยงเข้าพื้นที่

พลตำรวจตรี ปิยะต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พลตำรวจตรีจิรสันต์ แก้วแสงเอก กล่าวถึงการเตรียมการรับมือการชุมนุมในวันนี้ของกลุ่มทะลุฟ้าบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และกลุ่มทะลุแก๊ส ถนนดินแดงและถนนวิภาวดีรังสิต โดยในช่วงเย็นวันนี้เจ้าหน้าที่จะยังคงใช้การจัดกำลังตามสถานการณ์การชุมนุมของแต่ละพื้นที่ และจะเริ่มปิดการจราจรช่วงก่อนการชุมนุมประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเข้าพื้นที่ในช่วงเวลาดังกล่าว


สำหรับการชุมนุมเมื่อวานนี้ที่บริเวณถนนดินแดงและวิภาวดีรังสิต ของกลุ่มทะลุแก๊ส พบว่ามีการเคลื่อนกำลังผ่านไปบนถนนวิภาวดีรังสิตพร้อมกับใช้ประทัดยักษ์และวัตถุทรงกระบอกคล้ายไปป์บอมหรือระเบิดแสวงเครื่อง ปาใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจและสถานที่ราชการเช่น กองดุริยางค์ทหารบก อุปกรณ์โทรศัพท์ฉุกเฉินบนทางด่วน และตู้เก็บเงิน จนเกิดความเสียหาย อีกทั้งยังมีการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานของวัตถุที่กลุ่มผู้ชุมนุมใช้ได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งจากนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ให้มีการยกเลิกการใช้สิ่งกีดขวางบริเวณถนนวิภาวดีรังสิตและถนนดินแดงคุณเมื่อวานนี้เป็นวันแรกที่เริ่มมีการปรับใช้ตามแผนของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ก็พบว่ากลุ่มผู้ชุมนุมยังคงใช้ความรุนแรงเหมือนเดิม จึงจำเป็นต้องนำกำลังของตำรวจควบคุมฝูงชนเข้าไปควบคุมสถานการณ์ก่อนที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะแยกย้ายกันออกไป

ทั้งนี้ กองบัญชาการตำรวจนครบาลจะมีการปรับรูปแบบการเข้าควบคุมสถานการณ์การจัดกำลังของตำรวจควบคุมฝูงชนในแต่ละวันแตกต่างกันไปตามการข่าวที่ได้รับ และสถานการณ์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการควบคุมสถานการณ์มากที่สุด แต่ก็จะให้เกิดผลกระทบกับประชาชนน้อยที่สุด


ส่วนกรณีที่ชาวบ้านบริเวณแฟลตดินแดงยังคงร้องเรียนถึงผลกระทบจากการควบคุมฝูงชนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ล่าสุดทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ทำการประสานกับกรุงเทพมหานคร และการเคหะแห่งชาติ ให้เข้ามาติดตั้งประตูเหล็ก และตาข่ายกั้นสูง เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมขว้างปาสิ่งของเข้าไปด้านใน หรือได้รับผลกระทบจากกระสุนยางและก๊าซน้ำตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อีกทั้งยังเป็นการกันพื้นที่แยกผู้ชุมนุมออกจากชาวบ้านภายในแฟลตดินแดง ยังกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติงาน

สำหรับกรณีของคลิปภาพเจ้าหน้าที่กองร้อยควบคุมฝูงชนใช้ปืนยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุมที่ขี่รถจักรยานยนต์ในระยะประชิดตัวนี้การเผยแพร่ภาพลงในโลกโซเชียลและเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ว่า ขณะนี้ทราบว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว ซึ่งเบื้องต้นทราบแล้วว่าตำรวจนายดังกล่าวคือใครพร้อมทั้งมีการเรียกเข้ามาพูดคุยสอบถามข้อเท็จจริงแล้วในระดับหนึ่ง แต่ต้องรอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะทำงานจึงจะสามารถระบุได้ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจนายดังกล่าวมีความผิดหรือไม่ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจนายดังกล่าวยังคงปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมฝูงชนตามปกติ แต่ก็ได้ให้ผู้บังคับบัญชาแต่ละหน่วยกำชับแนวทางการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามยุทธวิธีและกฎหมายมากที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดภาพในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นอีก

ด้านพลตำรวจตรีจิรสันต์ ชี้แจงถึงการจัดการจราจรในช่วงที่มีการชุมนุมโดยเฉพาะบริเวณถนนดินแดงและวิภาวดีรังสิตของกลุ่มทะลุแก๊ส ที่มักมีประชาชนและผู้ใช้รถใช้ถนนพี่ไม่ทราบว่าเริ่มมีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือมีการรวมตัวของกลุ่มผู้ชุมนุมแล้วขับรถเข้าไปภายในจุดดังกล่าวเป็นจำนวนมากจนเกิดการร้องเรียนกับสื่อมวลชนหลายครั้ง เบื้องต้นในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการจราจรของเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ละจุดพบว่าได้มีการนำแผงเหล็กมากั้นปิดการจราจรแล้วและให้ตำรวจจราจรยืนประจำการในแต่ละจุดแต่เมื่อการชุมนุมรุนแรงขึ้นพบว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปพยายามทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจและนำแผงเหล็กที่นำมากั้นไว้ออก จนทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดและขับรถเข้าไปในจุดดังกล่าว อีกครั้งการทำงานยังต้องประสานกับฝ่ายความมั่นคงเพื่อทราบความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมและนำไปปรับใช้กับการปิดการจราจรในพื้นที่ ทำให้เกิดข้อจำกัดในการทำงานค่อนข้างมาก แต่หลังจากนี้จะนำข้อมูลการต้องการของประชาชนไปปรับแก้ให้เกิดความปลอดภัยมากที่สุด


สำหรับการดำเนินคดีล่าสุดวานนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 13 คน พร้อมของกลาง ระเบิดปิงปอง 53 ลูก ระเบิดแสวงเครื่อง 10 ลูก เครื่องกระสุนปืนอีกจำนวนหนึ่ง ข้อหาความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ส่วนการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมช่วงก.ค.-ส.ค. ดำเนินคดีทั้งสิ้น 90 คดี มีผู้ต้องหาที่จะถูกดำเนินคดี 481 คน จับกุมดำเนินคดีตามกฎหมาย 224 คน คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนบช.น. จะออกหมายเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมและกระทำผิดต่างๆ อีก 118 หมาย แบ่งเป็นกลุ่มแกนนำทั้งหมด 16 หมาย กลุ่มผู้ชุมนุมอื่นๆ 102 หมาย ทั้งนี้ กรณีที่มีการใช้ความรุนแรงตามที่มีภาพปรากฎออกมา มีความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืน ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาอั้งยี่ซ่องโจร การวางเพลิงเผาทรัพย์ และการสมคบกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อนให้เกิดเหตุความรุนแรงในบ้านเมือง ทางพนักงานสอบสวนจะออกหมายจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุดังกล่าว

ขณะที่ความคืบหน้าที่คดีเด็กอายุ 14 ปี ถูกยิง นายชุณหะวัน พ่อของเด็กชายวัย 14 ปี เปิดเผยความคืบหน้าทางคดีความ ว่า เมื่อวานที่ผ่านมาตัวเองและลูกชายลงพื้นที่พร้อมตำรวจสืบสวน เพื่อพิสูจน์ทราบจุดเกิดเหตุ โดยตำรวจเทียบเคียงจากการตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดตลอดเส้นทางเกิดเหตุ บนถนนประชาสงเคราะห์และพบข้อมูลภาพระบุเวลาช่วงค่ำในวันที่ 16 สิงหาคม ซึ่งเวลาใกล้ช่วงเกิดเหตุที่ลูกชายถูกยิง ซึ่งจุดเกิดเหตุคือ ปากซอยประชาสงเคราะห์ 14 ช่วงโค้งหน้าปากซอย ชายต้องสงสัยมีลักษณะผอม สูงในมือถือปืนชัดเจน โดยลูกชายยืนยันว่า มีลักษณะคล้ายผู้ก่อเหตุ

รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า ตำรวจสืบสวนมีข้อมูลผู้ต้องสงสัยแล้ว และอยู่ระหว่างสืบสวนติดตามเพื่อพิสูจน์ตัวตน จากนั้นจะรวบรวมพยานหยักฐานยื่นต่อศาลเพื่อขอออกหมายจับผู้ก่อเหตุ มาดำเนินคดี .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.พล.7 ของเขมร โดนกระสุนปืนใหญ่ยิงดับ บนช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ

26 ก.ค. – พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ จากการปะทะแย่งชิงพื้นที่ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ตลอดวันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปะทะระหว่างทหารไทย กับทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ และช่องตาเฒ่า ตั้งแต่เช้ามืดวันนี้ ทหารไทยสามารถปกป้องพื้นที่ภูมะเขือ และกดดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ ในขณะที่ทหารกัมพูชา พยายามกลับเข้ามาโจมตีกลับ เพื่อยึดภูมะเขือ ส่งผลให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหลายนาย หนึ่งในนั้นคือ พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ. – สำนักข่าวไทย

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

กริพเพน

ทอ. ส่ง F16 – กริพเพน ปฏิบัติการรอบ 2 ทิ้งบอมบ์พื้นที่ทางทหารเขมร

26 ก.ค. – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และกริพเพน 2 ลำ ออกปฏิบัติการรอบสอง โจมตียุทธบริเวณทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดง จ.สุรินทร์ ภารกิจลุล่วง และกับฐานปฏิบัติโดยปลอดภัย สำหรับพื้นที่บริเวนนี้ ทหารไทยกับทหารกัมพูชา ปะทะกันดุเดือด โดยทหารไทยพยายามทำลายพื้นที่กัมพูชาวางกำลังไว้หลายระลอก ในขณะที่กัมพูชาโต้กลับและระดมกำลังทหารมาเพิ่มเติม ส่งผลให้พื้นที่บริเวนนี้มีการปะทะดุเดือดตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ถึงวันนี้. – สำนักข่าวไทย

เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ”

26 ก.ค.- เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ” ทหารไทยยึดอาวุธปืน-โดรน 11 รายการ พร้อมมือถือ 7 เครื่อง ใช้ถ่ายคลิปยั่วยุทหารไทย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า สำหรับปฏิบัติการ ของเจ้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 บนภูมะเขือที่สามารถยึดกลับคืนมาได้ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 10 นาย พร้อมทั้งตรวจพบและสามารถยึดอาวุธ ยุทโธปกรณ์ จำนวน 11 รายการ ประกอบด้วย นอกจากนี้ยังพบโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง ที่ทางทหารกัมพูชาชอบถ่ายในเวลาทำคลิปเมื่อเจอกับทหารไทยบริเวณแนวชายแดน -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทบ. เชิญผู้ช่วยทูตทหารอาเซียนรับฟังข้อเท็จจริงชายแดนไทย-กัมพูชา

กทม. 31 ก.ค.- ทบ. เชิญผู้ช่วยทูตทหารอาเซียนร่วมหารือและรับฟังการชี้แจงข้อเท็จจริง อัปเดตสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังตั้งทีมเฝ้าติดตามหยุดยิงชายแดนไทย-กัมพูชา วันนี้ (31 ก.ค.68) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกโดยกรมข่าวทหารบก ร่วมหารือกับผู้ช่วยทูตทหารอาเซียนประจำประเทศไทย นำโดยผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย ณ อาคารศรีสิทธิสงคราม ภายในกองบัญชาการกองทัพบก โดยมี พล.ท.กำชัย วงศ์ศรี เจ้ากรมข่าวทหารบก เป็นประธานในการหารือ การหารือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมทั้งการจัดตั้ง Interim ASEAN Defence Attaches Monitoring Team (Interim ASEAN DAs Monitoring Team) ในการปฏิบัติหน้าที่สังเกตการณ์สถานการณ์หยุดยิง (Ceasefire) ตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งการหารือในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากข้อตกลงหยุดยิง ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 ก.ค.68 ที่ผ่านมา ซึ่งมีการเห็นพ้องร่วมกันในการจัดตั้งทีมเฝ้าติดตามชั่วคราวของฝ่ายทูตทหารจากชาติสมาชิกอาเซียนโดยเร่งด่วน เพื่อเป็นกลไกเบื้องต้นในการติดตามสถานการณ์และสร้างความไว้วางใจระหว่างทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ในที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งกลไก ASEAN Monitoring Team (AMIT) ในอนาคต […]

“มาริษ” ยันไทยไม่เสียเปรียบกัมพูชาในเวทีนานาชาติ

ก.ต่างประเทศ 31 ก.ค.-“มาริษ” ยันไทยไม่เสียเปรียบกัมพูชาในเวทีนานาชาติ และไม่ได้นิ่งนอนใจเฟคนิวส์ฝั่งกัมพูชา สั่งทูตเดินหน้าแจงทุกกรอบทุกเวที บอกนำทูตต่างประเทศลงดูพื้นที่ชายแดนช้า ห่วงความปลอดภัย ชี้ไปเร็ว ไม่ถือว่าชนะ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงยืนยัน จากสถานการณ์ปัญหาไทย-กัมพูชา ไทยไม่ได้เสียเปรียบ เพราะการชี้แจงอยู่ในกรอบของสหประชาชาติ เราได้ย้ำจุดยืนตั้งแต่ต้น ว่าเรายึดมั่นในสันติวิธีและกฎหมายระหว่างประเทศ กรอบกฎบัตรของอาเซียน แม้มีความพยายามนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC แต่ไม่ได้ออกข้อมติใดๆ และพูดว่าเป็นเรื่องของการเจรจาในระดับทวิภาคีไม่ต้องเอากลับมาในกรอบของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ รวมทั้งการที่กัมพูชา พยายามพูดปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชาในเวทีที่ปัญหาอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ก็ไม่ได้รับการบรรจุเรื่องนี้ในสเตทเมนท์ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าแม้มีความพยายามบิดเบือนจากกัมพูชาในเวทีต่างๆ แต่กระทรวงการต่างประเทศก็ไม่ได้อยู่นิ่ง เดินหน้ามาตรการทางการทูตโดยเร่งชี้แจงกับประเทศต่าง ๆ ทั้งกรอบทวิภาคี ภาคีในเวทีระหว่างประเทศทั้งหลาย ทั้งดำเนินการจากส่วนกลาง และการดำเนินการ ผานสถานทูตสถานกงสุญใหญ่ทั่วโลก ตั้งแต่เกิดกรณีการรุกราน เช่น ในเรื่องของ UNSC การวางทุ่นระเบิดสังหาร การโจมตีพลเรือน ในฝั่งไทย และประณามไปแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า เมื่อเช้าได้พบกับเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ซึนตนได้พูดให้เห็นถึงภาพต่าง ๆ ในการพบกันกับผูนำกัมพูชาที่มาเลเซีย และบอกว่าเราต้องการเห็นการหยุดยิงที่ไม่มีเงื่อนไข และหยุดยิง เด็ดขาดตามที่ตกลงกัน ซึ่งเรื่องนี้ต้องได้รับความจริงใจจากกัมพูชา […]

ทบ.แจงปม “ปราสาทตาควาย” ยึดไม่ได้ 100% เจอสนามทุ่นระเบิด BM-21 จ่อยิง

31 ก.ค.- ทบ.แจงปมทหารไทยยึด “ปราสาทตาควาย” ไม่ได้ 100% ไม่ใช่ตัวชี้วัดแพ้ชนะ แต่ได้พื้นที่มากกว่าก่อนปะทะ ลั่นยึดเนิน 350 จุดสูงข่มไม่ได้ เจอสนามทุ่นระเบิด BM-21 จ่อยิงหากเคลื่อนกำลังไปตัวปราสาทฯ ชี้ทีมโฆษก ทบ. ไม่ได้รับการประสานจากรัฐบาลก่อนเจรจาหยุดยิงถึงสถานการณ์หน้างาน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า สำหรับพื้นที่การปฏิบัติการทางทหารทั้งหมดมีเพียงปราสาทตาควายที่เดียว มีข้อจำกัด หากจะพูดถึงการควบคุมพื้นที่ เราสามารถควบคุมได้ตามแผน ตามเป้าหมายทางการทหารที่ได้วางไว้ โดยพื้นที่ปราสาทตาควาย ถือเป็นความพยายามสุดท้ายของทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชา ก่อนถึงเวลาหยุดยิง ยอมรับว่า ปัจจุบันเราไม่สามารถควบคุมพื้นที่ได้ 100% เพียงแต่เราได้พื้นที่ควบคุมเพิ่มมากขึ้นก่อนที่จะมีการปะทะ จะเห็นว่าปัจจุบันเราควบคุมพื้นที่ได้ด้วยการใช้อาวุธยิง ซึ่งลักษณะการวางกำลังบริเวณปราสาทตาควายจะอยู่ในพื้นที่ส่วนกลาง และพื้นที่ที่เป็นจุดสำคัญทางการทหาร ไม่ใช่ตัวปราสาทตาควาย เพราะเป็นพื้นที่ต่ำ แต่เดิมหากเราวางกำลังประจำอยู่ที่ปราสาทตาควาย จะเป็นความไม่ปลอดภัยในเรื่องของการใช้อาวุธจากฝ่ายตรงข้าม เราจึงให้ความสำคัญกับเรื่องของการคุมพื้นที่ ห้วงสุดท้ายสำหรับการใช้กำลัง เราพยายามกระทำต่อเป้าหมายจุดสูงข่ม คือ เนิน 350 ซึ่งอาจจะมองว่าอยู่ในฝั่งของประเทศเพื่อนบ้าน แต่เป็นจุดสำคัญที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติทางทหาร จึงเป็นความสำคัญสูงสุดที่เราจะต้องยึดที่หมายนี้ให้ได้ แต่เวลามีให้เราไม่เพียงพอ ซึ่งอย่างน้อยเราก็สามารถควบคุมพื้นที่ส่วนรวมด้วยอาวุธ ทั้งนี้ เนิน 350 เป็นพื้นที่วางกำลังของทหารกัมพูชา […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย