กทม.1 มิ.ย.- ศาลแพ่ง จัด“WALK & DRIVE THRU VS COVID-19” เริ่มวันนี้ ไม่หยุดพักเที่ยง บริการรับคำคู่ความที่ไม่ต้องชำระค่าธรรมเนียมศาล คู่ความสะดวกไม่ต้องลงจากรถ 5 นาทีเสร็จ
ตามที่ปัจจุบันมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease : COVID-19) อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับประธานศาลฎีกาได้มีคำแนะนำเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้ศาลยุติธรรมทั่วประเทศกำหนดมาตรการในด้านต่าง ๆ ตามแนวทางปฏิบัติและคำแนะนำของคณะอนุกรรมการศึกษา ติดตามและแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการคดีภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ศาลแพ่งโดยนายสันติ วงศ์รัตนานนท์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง จึงมีดำริให้จัดทำโครงการ WALK & DRIVE THRU VS COVID-19 เพื่อลดจำนวนคู่ความ เข้ามาภายในอาคารศาลแพ่ง ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป
โดยศาลแพ่ง ได้จัดเจ้าหน้าที่มาปฏิบัติงาน ณ จุดให้บริการ WALK & DRIVE THRU ซึ่งตั้งอยู่บริเวณภายนอกอาคารศาลแพ่ง ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น. โดยไม่หยุดพักเที่ยงเพื่อให้บริการ รับคำคู่ความ คำร้อง คำขอ คำแถลงต่าง ๆ ที่ไม่ต้องชำระค่าธรรมเนียมศาลและไม่ต้องรอฟังคำสั่งศาล โดยคู่ความสามารถเดินมายื่นหรือขับรถยนต์แล้วยื่นเอกสารต่าง ๆ ดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่ได้ โดยไม่ต้องลงจากรถและไม่ต้องเดินเข้าไปภายในอาคารศาลแพ่งซึ่งใช้เวลาดำเนินการไม่เกิน 5 นาที
ทั้งนี้ คู่ความสามารถติดตามผลคำสั่งของศาลผ่านช่องทาง QR Code โดยใช้วิธีสแกน QR Code เพื่อสอบถามผลคำสั่งศาลผ่าน Line Official Account ณ จุดบริการ WALK & DRIVE THRU เมื่อสแกนแล้วสามารถเข้าไปสอบถามผลของคำสั่งศาล และยังสามารถสอบถามวันนัดพิจารณาคดี โดยศาลแพ่งจะจัดเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการแจ้งคำสั่งศาลผ่านทาง Line Official Account ดังสโลแกนที่ว่า “สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ด้วยไดร์ฟทรู”
ทั้งนี้ ศาลแพ่งจึงขอเชิญชวนให้คู่ความใช้การยื่นฟ้องโดยระบบ e-filing และการติดตามข้อมูลคดี ตรวจดูคำสั่งศาล การยื่นขอคัดถ่ายเอกสาร การยื่น คำร้อง คำขอ คำแถลงต่าง ๆ ผ่านระบบ CIOS ตามนโยบายของประธานศาลฎีกาและสำนักงานศาลยุติธรรม ก็จะทำให้คู่ความไม่จำเป็นต้องเดินทางมาศาลด้วยตนเอง แต่หากมีความจำเป็นก็สามารถใช้บริการ WALK & DRIVE THRU ณ จุดให้บริการนอกอาคารศาลแพ่งโดยไม่ต้องเข้าไปภายในอาคารศาล เพื่อลดความแออัดและไม่ต้องเสียเวลาหาที่จอดรถ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โรคระบาดนี้.-สำนักข่าวไทย