4 ก.ค. – “พระนิทัศน์” ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนภายหลังออกมาโต้พฤติกรรมของเจ้าอาวาส โดยเปิดเผยว่า ตนเองยังคงจำวัดอยู่ที่วัดม่วง ยังไม่มีใครมาเชิญให้ออกจากวัด หรือมีหน่วยงานใดส่งหนังสือเข้ามาให้ แต่ทั้งนี้หากมีการเชิญให้ออกไป ก็จะไม่ไป เพราะยังมีสิทธิ์สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ การที่จะขับออกจากวัดนั้น ถ้าใช้มาตรา 38 เป็นเหตุอ้าง ที่บอกว่าตนเองไปใส่ร้าย จะต้องรอผลสอบออกมาก่อน เพราะไม่เชื่อว่าเงินและทองหายไปจริง
พระนิทัศน์ ยังระบุว่า รอบกุฏิวัดเป็นทางปิดมีรั้วรอบขอบชิดหากจะแบกเงิน 10 ล้าน ซึ่งมีน้ำหนักกว่า 10 กิโลกรัม และทอง 250 บาท มีน้ำหนักประมาณ 4 กิโลกรัม ออกไปนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องแบกผ่านทางเดิน ซึ่งมีกุฏิหลายห้อง อีกทั้งไม่พบร่องรอยการงัดแงะประตู 5 บาน มีรอยงัดแงะเพียงแค่ 1 บาน ตำรวจระบุว่าเป็นรอยงัดเก่าเมื่อ 5-6 ปีก่อน อีกทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่าการงัดจะต้องงัดให้ครบทุกประตูไม่ได้งัดแค่ประตูเดียว จึงเป็นไปไม่ได้
พระนิทัศน์ กล่าวว่า คนที่เชื่อว่าเงินหายเป็นคนที่หวังผลประโยชน์กับเจ้าคุณณรงค์ ซึ่งในวัดมีผลประโยชน์เยอะ ส่วนที่เจ้าคุณณรงค์ บอกว่าพระนิทัศน์ใส่ร้ายนั้น พระนิทัศน์ ระบุว่า เมื่อถูกไล่ออกมากว่า 20 ปี ตนเองก็ไม่สามารถปฏิบัติกิจของสงฆ์ร่วมกับวัดได้ แต่ทั้งนี้หลวงพี่ยังรับกิจของสงฆ์แต่ถูกตัดชื่อออกไป
ส่วนที่ประชาชนตั้งคำถามว่าพระนิทัศน์ ใส่ผ้าเหลืองแต่สวดมนต์ไม่ได้นั้น เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ของคนที่ไม่รู้ ซึ่งตนเองยังสามารถปฏิบัติธรรมได้และก็นั่งสมาธิจนได้รับบาดเจ็บเป็นแผลกดทับพร้อมกับโชว์บาดแผลที่พันผ้าให้สื่อมวลชนดู ทุกวันนี้ก็ยังไหว้พระมีพุทธรูปอยู่ มองว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ต้องมายุ่ง หากไม่มีความรู้ก็ไม่ต้องมาวิจารณ์
อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้จะไปที่ตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้ข้อมูลกับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้ข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลังของความไม่โปร่งใสและไม่ชอบมาพากลภายในวัดม่วง รอมา 20 ปี สบโอกาสเสียที โดยให้เหตุผลว่าที่ผ่านมาไม่อยากให้ข้อมูลกับตำรวจท้องที่ เพราะไม่เชื่อมั่น ทั้งที่เจ้าคุณณรงค์ก่อคดีไว้มากมาย แต่ก็รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะมีตำรวจช่วยเหลือ การต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าอยากให้เจ้าคุณณรงค์ ลาสิกขาไป แต่อยากให้ชาวโลกได้รับรู้ ได้ตาสว่าง จะได้ไม่ต้องถูกหลอก บางคนเห็นห่มผ้าเหลืองก็ไม่ใช่คนดี แต่อยู่กันเพื่อเงินเพื่อผลประโยชน์ โดยจะให้ข้อมูลกับ “บิ๊กเต่า” เพียงคนเดียวเท่านั้น
พระนิทัศน์ ย้ำว่า ไม่ได้คาดหวังที่จะไปทำร้ายอะไรกันแต่อยากให้สังคมได้รับรู้ แต่ยืนยันว่ามีพยานหลักฐานทั้งฆราวาสและพยานทางเอกสาร ซึ่งพยานพระคนนี้ถือว่าเป็นทีเด็ดที่รอดตาย เพราะพยานคนนี้ได้ช่วยมาตลอด แต่ปัจจุบันยังนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์ ยืนยันว่าตนเองไม่ได้โกหกและจะไม่พูดเรื่องที่ไม่จริง ไม่มีการกลั่นแกล้ง ถ้าหากเขาไม่ได้ทำเราก็จะไม่ไปพูดไปว่าหรือไปกลั่นแกล้งได้ ยืนยันพูดเรื่องจริงทุกเรื่องไม่ได้กล่าวหาไปเรื่อย
พระนิทัศน์ ยังยอมรับว่า ในสมัยก่อนมีเด็กและพระเข้ามาเสพยาในกุฏิจำนวนมาก แต่พระก็ถูกจับสึกไปหมดแล้ว พร้อมแสดงความบริสุทธิ์ใจหากกล่าวหาว่า ตนเองเสพยามาก่อนก็สามารถมาตรวจได้ตลอด 24 ชั่วโมง. -419-สำนักข่าวไทย