fbpx

ก.ตร.ยัน “บิ๊กโจ๊ก” ยังมีสิทธิ์เป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. แม้ถูกดำเนินคดีอาญา

กรุงเทพฯ 3 เม.ย. – ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ชี้ “บิ๊กโจ๊ก” ถูกดำเนินคดีอาญา ยังไม่เป็นข้อจำกัดสิทธิ์ ลุ้นชิง ผบ.ตร. กฎหมายให้อำนาจนายกฯ ใช้ดุลยพินิจได้


จากกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เข้ารับทราบข้อกล่าวหาสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน ที่สถานีตำรวจนครบาลเตาปูน และได้รับการประกันตัว เมื่อเย็นวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ต่อมามีกระแสข่าวว่าจะมีการพิจารณาดำเนินการทางวินัยกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หรือไม่นั้น

ล่าสุด พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิให้ความเห็นกรณีดังกล่าวว่า มีประเด็นที่จะต้องดำเนินการควบคู่ไป 2 เรื่อง คือ 1.การดำเนินคดี ล่าสุดพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน เรื่องคดีจะต้องมีการสืบสวนสอบสวนในชั้นพนักงานสอบสวนจะมีการสรุปการสอบสวนและเสนอสำนวนการสอบสวนโดยมีความเห็นว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้องไปยังอัยการ หากอัยการสั่งฟ้องก็จะส่งต่อไปที่ศาล หากสั่งไม่ฟ้องจะต้องส่งสำนวนกลับมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อมีความเห็น ถ้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติเห็นแย้งไม่เห็นด้วยกับอัยการที่สั่งไม่ฟ้อง ก็ต้องส่งไปให้อัยการสูงสุดเพื่อสั่งวินิจฉัยชี้ขาด


พล.ต.อ.เอก ระบุว่า หากชี้ขาดประการใดก็ยุติไปตามนั้น หากเข้าสู่กระบวนการพิจารณาเมื่อมีการฟ้องร้องต่อศาลจะเป็นไปตามกระบวนกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญาบัญญัติไว้ ก็ไปดำเนินการในเรื่องของการพิจารณาในชั้นศาล จนศาลมีคำพิพากษาตัดสิน จะศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ก็อยู่ที่ข้อเท็จจริงของการตัดสินแต่ละศาล ซึ่งเป็นเรื่องที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย ตามกรอบระยะเวลาซึ่งจะใช้เวลาพอสมควรในการพิจารณาคดีนี้

พล.ต.อ.เอก กล่าวอีกว่า อีกส่วนหนึ่งกรณีข้าราชการต้องหาคดีอาญาจะต้องมีการรายงานโดยตัวผู้ถูกกล่าวหาคือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะต้องรายงานต่อผู้บังคับบัญชาคือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถึงแม้ในขณะนี้จะไปช่วยราชการอยู่ แต่มีรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่ เพื่อจะให้มีการพิจารณาดำเนินการทางวินัย ซึ่งรายงานดังกล่าวจะประกอบกับรายงานส่วนที่พนักงานสอบสวนที่รับเรื่องที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เข้ามอบตัวได้รายงานพฤติกรรมเกี่ยวกับคดี ส่งมาให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นจนถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาในการตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริง หรือตั้งกรรมการพิจารณาทัณฑ์ทางวินัย ก็อยู่ในดุลยพินิจหรือในอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.อ.เอก กล่าวว่า ส่วนการพิจารณาทัณฑ์ทางวินัย คณะกรรมการที่ดำเนินการสามารถมีความเห็นว่าผิดหรือไม่ผิด จะเป็นวินัยร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรง หากวินัยร้ายแรงสามารถเสนอความเห็นให้มีการลงโทษ จะไล่ออก ปลดออก เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่มีการสอบสวน เรื่องวินัยเป็นกระบวนการที่แยกออกมา และสามารถสรุปความผิดทางวินัยได้โดยไม่ต้องรอผลทางคดีอาญา ซึ่งมีกรอบเวลาในการพิจารณา ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่าจะมีการตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนหรือจะมีการตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย คาดว่าขั้นตอนการดำเนินการทางวินัยจะรวบรัดได้เร็วว่าการดำเนินการในส่วนของคดีอาญา เพราะว่ากระบวนการในการพิจารณาชั่งน้ำหนัก พยานหลักฐาน ไม่เหมือนคดีอาญาเวลาที่จะกล่าวหากล่าวโทษใครว่าต้องคดีอาญาที่มีโทษจำคุกจะต้องดูพยานหลักฐานให้ชัดเจนถ้ายังไม่ตัดสิน การถูกกล่าวหายังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ มีกฎหมายรัฐธรรมนูญรองรับ ส่วนทางวินัยการสืบสวนสอบสวนพยานหลักฐานต่าง ๆ แม้ว่าจะไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนจนฟังว่ากระทำความผิดวินัยร้ายแรงถึงลงโทษให้ไล่ออก ปลดออก แต่คณะกรรมการหรือผู้บังคับบัญชาพิจารณาว่าการกระทำทั้งหมดมีมลทินมัวหมอง หากอยู่ไปก็อาจจะทำให้เกิดความเสียหายอาจมีความเห็นให้ออกจากราชการไว้ก่อนได้


เมื่อถามถึงกระบวนการพิจารณาพักราชการให้ออกจากราชการ รักษาราชการแทนสามารถดำเนินการได้หรือไม่ พล.ต.อ.เอก กล่าวว่า เป็นอำนาจของรักษาการ แต่ถ้าผู้ถูกกล่าวหาเป็น ผบ.ตร.อำนาจเป็นของนายกรัฐมนตรี แต่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นรอง ผบ.ตร. ผู้บังคับบัญชาคือคนที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนี้คือรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

เมื่อถามถึงประเด็นการถูกดำเนินคดีอาญาจะส่งผลต่อการมีชื่อเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร.คนต่อไปหรือไม่ พล.ต.อ.เอก กล่าวว่า ประเด็นนี้จริง ๆ แล้ว ข้อมูลทั้งหลายมีกระบวนการดำเนินการทั้งทางคดีอาญาและทางวินัย คงต้องมีระยะเวลาในการดำเนินการ หากถามว่าจะเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งโยกย้ายเหมือนอย่างที่มีข้อสันนิษฐานหรือมีคนสงสัยมาตลอดว่าการดำเนินคดีอาญาเป็นเรื่องของการเตะตัดขา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ผมขอบอกว่ากระบวนการแต่งตั้งผบ.ตร. เริ่มขึ้นประมาณเดือน ต.ค.67 ซึ่งส่วนนี้กฎหมายให้อำนาจนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีสามารถใช้ดุลยพินิจพิจารณารองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่เป็นแคนดิเดต 4 คน รวมถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ด้วย

เมื่อถามว่าขณะนี้ทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อาจถูกตั้งกรรมการและถูกดำเนินคดีอาญาจะเป็นข้อจำกัดสิทธิ์หรือไม่ พล.ต.อ.เอก กล่าวว่า ขอยืนยันว่ายังไม่เป็นข้อจำกัดสิทธิ์ เพราะนายกรัฐมนตรีสามารถเสนอชื่อของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ ภายใต้กรอบกฎหมายที่กำหนดไว้ ทั้งอาวุโส ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ในการสืบสวนสอบสวน และเรื่องความประพฤติ ก็จะมีประเด็นที่สังคมมีคำถามว่าต้องหาคดีอาญาหรือโดนตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยจะมีความเกี่ยวข้องเป็นข้อพิจารณาได้หรือไม่ อย่างไร ทั้งนี้ แล้วแต่นายกรัฐมนตรีจะพิจารณาอย่างไร ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาและเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ให้ความเห็นชอบซึ่งเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบ นายกรัฐมนตรีมีสิทธิ์สามารถเสนอได้ ส่วนข้อจำกัดตามที่กล่าวอ้าง หรือมีประเด็นที่สอบถามกันจะต้องแล้วแต่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณา. -419-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผู้อพยพจากไทยคว้าแจ็กพอตเพาเวอร์บอล

ผู้อพยพจากไทยไปใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐดวงเฮง คว้ารางวัลแจ็กพอตลอตเตอรี่เพาเวอร์บอล ได้เงินรางวัลสูงถึง 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

“ซูเปอร์โพล” เผยผลสำรวจสเปก “ผบ.ตร.คนใหม่” ต้องซื่อสัตย์สุจริต

“ซูเปอร์โพล” เผยผลสำรวจสเปก “ผบ.ตร.คนใหม่” ต้องซื่อสัตย์สุจริต ชี้ประชาชนเบื่อมากข่าวนายตำรวจระดับสูง ควรเร่งทำงานสร้างความปลอดภัยให้ประชาชน

นายกฯ บอกขอโทษ “ปานปรีย์” แล้ว ไม่ขัดแย้ง

นายกฯ เผยขอโทษ “ปานปรีย์” แล้วหลังหลุดรองนายกฯ รับมีทั้งคนพอใจ ไม่พอใจ ยันสัมพันธ์ลูกเป็นเพื่อนกัน ไม่ขัดแย้ง เชื่อคนใหม่สานต่องานได้  

“ปานปรีย์” รับยื่นลาออก หลังถูกปรับพ้นรองนายกฯ

“ปานปรีย์” ยอมรับยื่นลาออก หลังถูกปรับออกจากรองนายกฯ ชี้หากไม่มีตำแหน่งพ่วงอาจทำงานไม่ราบรื่น ลั่นหากมีคนอื่นเหมาะสมกว่าให้มาทำงานแทน

ข่าวแนะนำ

แรงงานทั่วไทยเดินขบวนเรียกร้องสิทธิจากรัฐบาล

วันที่ 1 พ.ค. ของทุกปี เป็นวันสำคัญของผู้ใช้แรงงานทั่วโลก สำหรับประเทศไทยในปีนี้ มีการจัดกิจกรรมเสนอข้อเรียกร้องไปยังรัฐบาลหลายจุด โดยพื้นที่หลักอยู่ที่ตลอดแนวถนนราชดำเนิน และลานคนเมือง

โปรดเกล้าฯ “มาริษ” รมว.กต.คนใหม่

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศแต่งตั้ง “มาริษ” เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ แทน “ปานปรีย์” ที่ลาออกจากตำแหน่ง มีผลทันที

นายกฯ ย้ำไม่ลืมคำมั่นเพิ่มค่าแรง ชี้ต้องเพียงพอดำรงชีวิต

เนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความไม่ลืมคำมั่นเพิ่มเงินเดือนและค่าแรงขั้นต่ำ ย้ำเงินเดือนต้องเพียงพอในการดำรงชีวิต