กรุงเทพฯ 16 ม.ค. – ผู้เสียหายร้องถูกเต็นท์รถหลอกขายรถซูเปอร์คาร์ ติดอายัดดีเอสไอ พ้อซื้อมาโดยสุจริต ครอบครองได้ แต่เอาไปขายต่อไม่ได้
นายนเรศ ผู้เสียหายที่ไปซื้อรถลัมโบร์กีนีจากเต็นท์ย่านกาญจนาภิเษก หอบหลักฐานการซื้อขาย และผ่อนจ่ายค่างวด เข้าร้องทุกข์เพจสายไหมต้องรอด พร้อมเล่าว่า ซื้อรถมาเมื่อปี 64 ในราคา 9.5 ล้านบาท ตอนนั้นจ่ายเงินสดไป 5 ล้านบาท และขอผ่อนต่อเดือนละ 130,000 บาท 36 งวด รวมเป็น 4.5 ล้านบาท ปรากฏว่า ผ่อนไป 6 งวด เจ้าของเต็นท์รถโทรมาบอกว่า ดีเอสไอ เรียกไปคุย และบอกว่า รถคันนี้ต้องสงสัยว่า ผู้ครอบครองคนแรกนำเข้ามาแบบสำแดงเท็จ และเลี่ยงภาษี ทำให้ต้องการอายัดรถไว้ ซึ่งผู้ครอบครองยังครอบครองต่อได้ แต่เปลี่ยนชื่อหรือเปลี่ยนสัญญาไม่ได้ ที่สำคัญกว่า คือหากผ่อนหมด เต็นท์สามารถโอนให้นายนเรศได้ แต่นายนเรศ ไม่สามารถเอาไปขายต่อได้อีกแล้ว เหตุเพราะนายนเรศ รู้จากดีเอสไอแล้วว่า รถคันนี้ถูกอายัดไว้
อย่างไรก็ตาม ตอนที่ดีเอสไอเรียกไป นายนเรศ ยังค้างค่างวดที่ต้องผ่อนต่ออีก 2.2 ล้านบาท แม้ก่อนหน้านี้จะเร่งโปะให้หมด โดยบางเดือนจ่าย 6 แสนบ้าง 9 แสนบ้าง เพราะอยากได้รถมาเป็นของตัวเองเร็วๆ แต่เมื่อทราบอย่างนี้ นายนเรศ ได้ไปเจรจากับบริษัทลิซซิ่งขอผ่อนเดือนละ 1 แสนบาท ซึ่งบริษัทพอรู้ว่า รถติดอายัดกับดีเอสไอก็ไม่รับผ่อนต่อ นายนเรศจึงเปลี่ยนไปขอผ่อนต่อกับเต็นท์รถที่ซื้อมา ซึ่งล่าสุดมียอดค้างกับเต็นท์อยู่ 10 งวด รวม 1 ล้านบาท แต่เขาไม่อยากเก็บรถคันนี้ไว้แล้ว เพราะไม่ใช่ทรัพย์สินที่จะเอาไปขายต่อได้ ประกอบกับที่ผ่านมา ได้พยายามเสนอให้เต็นท์นำรถรุ่นอื่นมาให้ใช้แบบยอมขาดทุนค่าส่วนต่าง แต่เต็นท์ยังปฏิเสธ วันนี้จึงมาร้องขอความเป็นธรรม เพราะอยากให้เต็นท์รถแสดงความรับผิดชอบ เนื่องจากที่มาซื้อรถกับเต็นท์ เพราะคิดว่าผ่านการตรวจสอบมาแล้ว และรอบคอบกว่าคนทั่วไป
ด้านนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยืนยัน เคสนี้ ผู้เสียหายซื้อรถมาด้วยความสุจริต และไม่ทราบว่ารถติดอายัดดีเอสไอ ดังนั้นเต็นท์จะหนีความรับผิดชอบไม่ได้ หลังจากนี้จะพาผู้เสียหายไปร้องทุกที่ สคบ. และตรวจสอบว่าเต็นท์ได้รับเอกสารจากดีเอสไอก่อนนำมาขายให้กับนายนเรศหรือไม่ หากได้รับเอกสารก่อน แต่ยังนำมาขาย อาจเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน.-สำนักข่าวไทย