28 ก.พ. – ศาลสั่งจำคุก 10 ปี “เนย ชยางกูร” อดีตศิษย์คนสนิทสมเด็จพระวันรัต หลอกปลอมลายมือชื่อถอนเงินจากบัญชีวัด เข้ากระเป๋าตัวเองกว่า 80 ล้านบาท ซื้อรถยนต์หรู ประมูลป้ายทะเบียนเลขสวย กระเป๋าแบรนด์เนม พร้อมสั่งให้คืนเงินแก่วัดวชิรธรรมด้วย
วันนี้ (28 ก.พ.) ศาลอาญา อ่านคำพิพากษา คดีฉ้อโกง หมายเลขดำ อ.1117/2565 ที่พนักงานอัยการและรักษาการเจ้าอาวาสวัดวชิรธรรมาราม ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง นายอภิรัตน์ หรือ เนย ชยางกูร ณ อยุธยา อายุ 40 ปี อดีตลูกศิษย์คนสนิทสมเด็จพระวันรัต อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวรวิหาร เป็นจำเลยในความผิดฐาน ฉ้อโกง ปลอมแปลงเอกสารใช้และใช้เอกสารปลอม ทำให้วัดวชิรธรรมมารามและวัดสาขา ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเสียหายและให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 80.10 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยคืนแก่วัดวชิรธรรมด้วย
คดีนี้โจทก์ฟ้องระบุความผิดสรุปว่า เดิมสมเด็จพระวันรัต เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และรักษาการเจ้าอาวาสวัดวชิรธรรมาราม อาพาธรักษาตัวที่โรงพยาบาลระหว่างปี 2564-2565 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้จัดส่งเงินจำนวน 78.5 ล้านบาท เข้าบัญชีวัดวชิรธรรมมาราม เพื่อใช้จ่ายในการก่อสร้างวัดวชิรธรรมาราม (โครงการสร้างถวายในหลวงภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ร.9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ) และโครงการอื่นๆ มีพระวันรัต เป็นผู้มีอำนาจเบิกถอนเงินเพียงผู้เดียว ในหลายบัญชี อาทิ ธนาคารกสิกรไทยฯ สาขาบางลำภู วัตถุประสงค์ฝากเงินเพื่อเอาดอกเบี้ย จนเงินเพิ่มเป็น 80.10 ล้านบาท
ส่วนจำเลยเป็นศิษย์คนสนิท รู้ว่าเงินไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของสมเด็จพระวันรัตแต่เป็นของวัดวชิรธรรม ได้ออกอุบายหลอกลวงสมเด็จพระวันรัต ให้ลงลายมือชื่อเบิกถอนเงิน หลายครั้งหลายหน แล้วนำไปเบิกถอนเงินกับเจ้าหน้าที่ธนาคาร เมื่อเจ้าหน้าที่ธนาคารฯ โทรมาสอบถามสมเด็จพระวันรัต ก็ไม่ได้รับสาย เพราะจำเลยให้ปิดเสียงโทรศัพท์ โดยจำเลยได้โอนเงินจำนวน 50 ล้านบาท เข้าบัญชีเงินฝากของตนเอง จากนั้นจำเลยนำเงินที่หลอกลวงมาไปซื้อรถยนต์ยี่ห้อหรูหลายคัน รวมทั้งจองและสั่งซื้อเลขป้ายทะเบียนสวย กระเป๋าราคาแพง อัญมณี ชำระหนี้บัตรเครดิต รวมทั้งหมด 324 รายการ ต่อมาสมเด็จพระวันรัตทราบเรื่องเกี่ยวกับการโอนเงินวัดเข้าบัญชีจำเลย จึงสอบถามจำเลยซึ่งจำเลยตอบว่าโอนเงินผิด สมเด็จพระวันรัตจึงตำหนิจำเลยแล้วบอกให้โอนเงินกลับคืนมาให้เรียบร้อย แต่จำเลยเพิกเฉยไม่โอนเงินคืนให้
ทั้งนี้จำเลยมีการกระทำในลักษณะเดียวกันนี้ต่อวัดบวรนิเวศฯ วัดรัตนวราราม ในหลายบัญชี โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยสถานหนักและให้คืนเงินจำนวน 80.10 ล้านบาทด้วย จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดีและถูกคุมขังในเรือนจำมาโดยตลอด โดยวันนี้ศาลได้เบิกตัวนายอภิรัตน์ จำเลยมาจากเรือนจำ พิเศษกรุงเทพ มาฟังคำพิพากษา
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างแล้ว เห็นว่า จำเลยมีเจตนาฉ้อโกงหลอกลวงสมเด็จพระวันรัตโดยปลอมลายมือชื่อและใช้ใบถอนเงินปลอม โดยเมื่อวันที่ 29 ม.ค.2564 จำเลยได้ถอนเงินจำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ธนาคารหลงเชื่อว่าใบถอนเงินดังกล่าวเป็นเอกสารฉบับจริง หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2565 จำเลยยังได้โอนเงินจำนวน 30 ล้านบาทเศษ เข้าบัญชีส่วนตัวของจำเลย โดยฝ่าฝืนไม่ได้รับความยินยอมจากสมเด็จพระวันรัต ดังนั้นจากพฤติกรรมเห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์ของตนเองโดยทุจริตมาตั้งแต่ต้นและปกปิดข้อมูลข้อเท็จจริง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งเป็นบทลงโทษหนักที่สุด
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 และ 268 วรรคแรก ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม จำนวน 2 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมโทษจำคุก 10 ปี และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 80 ล้านบาทเศษ แก่วัดวชิรธรรมด้วย. -สำนักข่าวไทย