เลื่อนฟังคำสั่งคดี “ชำนาญ” ฟ้องอดีต ปธ.ศาลฎีกา

กรุงเทพฯ 29 ส.ค. – ศาลเลื่อนฟังคำสั่ง “ชำนาญ” ฟ้องอดีต ปธ.ศาลฎีกา ออกคำสั่งไม่ได้เป็นผู้พิพากษาอาวุโส หลังเจ้าตัวยื่นฟ้องปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ชี้ข้อกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจ ก.ต. การกระทำขัดข้อกฎหมาย นัดอีกที 17 ต.ค.ให้โจทก์เเก้ฟ้อง พร้อมออกหมายเรียกเอกสารจาก สนง.ศาลยุติธรรม


เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 65 ที่ห้องพิจารณาคดี 402 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟ ศาลนัดฟังคำสั่งในชั้นตรวจคำฟ้องในคดีที่นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ อดีตประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา เป็นโจทก์ยื่นฟ้องอดีตประธานศาลฎีกา กรณีมีคำสั่งให้พ้นจากราชการ เพื่อรับบำเหน็จบำนาญโดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจ

โดยในวันนี้นายชำนาญ เดินทางมาฟังคำสั่งด้วยตนเอง โดยกล่าวก่อนเข้าห้องพิจารณาว่า คดีนี้ถือเป็นคดีสำคัญที่มีผลต่อระบบการแต่งตั้งผู้พิพากษาอาวุโสของข้าราชการตุลาการที่มีอายุครบ 65 ปี และการพ้นจากราชการของผู้พิพากษา ที่กฎหมายบัญญัติให้ข้าราชการตุลาการเกษียณอายุราชการเมื่ออายุ 70 ปีบริบูรณ์ ว่า การที่ ก.ต.มีมติไม่เห็นชอบให้ผู้พิพากษาที่อายุ 65 ปีบริบูรณ์ ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส และให้พ้นจากราชการ โดยที่ไม่ปรากฏว่าผู้นั้นถูกลงโทษให้ออกหรือไล่ออกจากราชการ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะ พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติมเมื่อปี พ.ศ.2560 อันเป็นกฎหมายที่บัญญัติหลักเกณฑ์การแต่งตั้งผู้พิพากษาอาวุโสและการพ้นจากตำแหน่ง มาตรา 6/1บัญญัติว่า


“ข้าราชการตุลาการ ซึ่งมีอายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณใด ให้พ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่เมื่อสิ้นปีงบประมาณนั้น และให้ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสจนกว่าจะพ้นจากราชการตามมาตรา 8/1แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543”

ซึ่งเป็นกรณีที่กฎหมายบังคับให้ข้าราชการตุลาการที่มีอายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ต้องพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่เมื่อสิ้นปีงบประมาณนั้น และบังคับให้ข้าราชการตุลาการผู้นั้นไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส จนกว่าจะพ้นจากราชการเมื่ออายุครบ 70ปี บริบูรณ์ ตามมาตรา 8/1 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 โดยมาตรา 6/1มิได้ให้อำนาจ ก.ต. ในการให้ความเห็นชอบว่าข้าราชการตุลาการที่อายุครบ 65 ปี ผู้ใดเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสหรือไม่ เพราะกฎหมายมีเจตนารมณ์เพียงแต่ไม่ให้ผู้พิพากษาที่อายุกว่า 65 ปี ไปดำรงตำแหน่งด้านการบริหาร จึงให้ปรับเปลี่ยนตำแหน่งไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสจนกว่าจะมีอายุครบ 70ปี ดังที่ปรากฏในหมายเหตุท้ายการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัตินี้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2560ว่า “โดยที่มีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้ข้าราชการตุลาการซึ่งมีอายุครบ65ปีบริบูรณ์ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสเพื่อทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีโดยไม่ดำรงตำแหน่งด้านบริหารจนกว่าจะพ้นจากราชการ  จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้”

ดังนั้น จึงเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนตำแหน่งจากตำแหน่งบริหารมาเป็นตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส แต่ยังคงเกษียณอายุราชการเมื่ออายุ 70ปี มาตรา 6/1จึงไม่ให้อำนาจ ก.ต. ต้องให้ความเห็นชอบว่าข้าราชการตุลาการผู้นั้นเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสหรือไม่ เพราะหาก ก.ต. ไม่ให้ความเห็นชอบผู้พิพากษาที่มีอายุ 65 ปี คนใดไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส และให้พ้นจากราชการ ย่อมเป็นการขัดต่อกฎหมายที่ให้ผู้พิพากษาเกษียณราชการเมื่ออายุ 70 ปีบริบูรณ์


ส่วนหากปรากฏว่าผู้พิพากษาที่อายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ คนใดถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย ก็เป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการทางวินัยซึ่งเป็นคนละส่วนกับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส เมื่อมาตรา 6/1บัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งสำหรับผู้พิพากษาที่มีอายุครบ 65ปี บริบูรณ์ แล้วว่า เป็นบทบังคับ “ให้ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสจนกว่าจะพ้นจากราชการตามมาตรา 8/1 แห่ง พรบ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543” ทั้งการพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 6/1เป็นการ พ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ เพื่อไปดำรง ตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสตามบทบังคับของกฎหมาย

ดังนั้น การพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 6/1จึง “มิใช่ การพ้นจากตำแหน่งซึ่งมีผลเป็นการให้พ้นจากราชการตามมาตรา 32แห่งพรบ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 ดังนั้น การที่ไม่ให้ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส จากนั้นให้ผู้พิพากษาพ้นจากราชการ โดยไม่ถูกลงโทษให้ออกหรือไล่ออกหรือพ้นจากราชการตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 จึงเป็นการให้ผู้พิพากษาพ้นจากราชการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ซึ่งหลักกฎหมายดังกล่าวบัญญัติขึ้น เพื่อเป็นหลักประกันความเป็นอิสระของผู้พิพากษา (Judicial Independence) เพื่อให้ผู้พิพากษามีหลักเกณฑ์ในการดำรงตำแหน่งที่มั่นคง การแต่งตั้งโยกย้ายและให้ผู้พิพากษาพ้นจากราชการจึงต้องเป็นไปตามกฎหมาย ไม่อาจกระทำตามอำเภอใจได้ ทั้งนี้ เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีเป็นไปอย่างเป็นอิสระ ไม่หวั่นเกรงว่าจะถูกโยกย้ายหรือให้พ้นจากราชการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

โดยในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้พิพากษาหลายท่านที่ ก.ต.ไม่เห็นชอบให้เป็นผู้พิพากษาอาวุโส และให้พ้นจากราชการ ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีสำคัญสำหรับวงการตุลาการในการที่ศาลจะวินิจฉัยว่า ก.ต.มีอำนาจไม่ให้ผู้พิพากษาที่อายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ไปเป็นผู้พิพากษาอาวุโสหรือไม่ และกรณีที่ไม่เห็นชอบให้เป็นผู้พิพากษาอาวุโสจะมีคำสั่งให้ผู้พิพากษาผู้นั้นพ้นจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญ โดยที่ยังไม่เกษียณอายุและไม่ได้ถูกลงโทษไล่ออกหรือปลดออกได้หรือไม่ เรื่องนี้จึงมิใช่เป็นเพียงเรื่องเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า มีกฎหมายให้อำนาจกระทำได้หรือไม่

ศาลออกนั่งพิจารณาตรวจฟ้องแล้ว เห็นว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องบรรยายฟ้องมีข้อความตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา มาตรา 158 มีข้อความที่เป็นการกล่าวหาเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นความผิดคดี ทุจริตและประพฤติมิชอบ และต้องระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่ากระทำความผิดพร้อมทั้งชี้ช่องพยานหลักฐานให้ชัดเจนเพียงพอที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง

แต่ฟ้องของโจทก์ไม่ได้ชี้ช่องพยานหลักฐานให้ชัดเจนเพียงพอที่จะดำเนินกระบวน พิจารณาต่อไปได้อันเป็นฟ้องไม่ถูกต้อง ศาลต้องมีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขให้ถูกต้องตาม พ.ร.บ.วิธี พิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559มาตรา 15 วรรคสาม ก่อนที่จะดำเนินกระบวน พิจารณาจึงมี คำสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้อง ภายใน 30วันนับแต่วันนี้

โดยบรรยายฟ้องให้ชัดแจ้ง ให้โจทก์ บรรยายฟ้องชี้ช่องพยานหลักฐานให้ชัดเจนว่ามีหลักฐานใดสนับสนุนหรือแสดงให้เห็นถึงการกระทำและ พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลย เพื่อให้ศาลใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบและรวบรวม พยานหลักฐานอันเป็นประเด็นแห่งคดีที่จะพิจารณาคดีต่อไปได้ พร้อมให้โจทก์อ้างส่งพยานเอกสารที่ เกี่ยวข้อง (ถ้าหากมี) ต่อศาล

ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ความแจ้งชัดในข้อเท็จจริงแห่งคดี อาศัยอำนาจตามข้อบังคับของประธาน ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีการดำเนินคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2554 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ข้อ 16 วรรคหนึ่ง ให้มีหนังสือถึงสำนักงานศาลยุติธรรมเพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ชี้แจ้งข้อมูลและจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องต่อศาล ดังต่อไปนี้ 1.การแต่งตั้งข้าราชการตุลาการให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส ก.ต.ต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถ ประวัติและผลงานการปฏิบัติราชการและ พฤติกรรมทางจริยธรรมเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสหรือไม่ อย่างไร และเป็นไปตาม กฎหมาย กฎ ระเบียบใดหรือไม่ อย่างไร

2.ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี ประธานศาลฎีกาออกคำสั่งสำนักงานศาลยุติธรรมที่1132/2562 หรือไม่ อย่างไร หากมี ประธานศาลฎีกามีหน้าที่ออกคำสั่งดังกล่าวหรือไม่ และเป็นไป ตามมติ ก.ต.ในการประชุมครั้งที่ 8-9/2562 ที่เห็นชอบแต่งตั้งให้นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษหรือไม่ อย่างไร และเป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบใดหรือไม่ อย่างไร

3.เหตุใด ก.ต.จึงมีมติในการประชุมครั้งที่ 16/2562 ให้นำมติ ก.ต.ครั้งที่ 8-9/2562เห็นชอบแต่งตั้งนายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ กลับมาทบทวน และการทบทวนมติดังกล่าว อาศัยอำนาจตามกฎหมาย กฎ ระเบียบใด และมติ ก.ต.ครั้งที่ 17/2562 ที่เห็นชอบให้นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ พ้นจากราชการเพื่อรับบำเหน็จ บำนาญเป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบใดหรือไม่ อย่างไร

4.ประธานศาลฎีกาออกคำสั่งสำนักงานศาลยุติธรรม ที่ 1531/2562 เรื่อง ให้ข้าราชการตุลาการพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ อย่างไร หากมี ประธานศาลฎีกามีหน้าที่ออกคำสั่งดังกล่าว หรือไม่ และคำสั่งนั้นเป็นไปตามมติของ ก.ต.หรือไม่ อย่างไร

5.ให้จัดส่งพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับกรณีข้างต้น (ถ้าหากมี) ต่อศาล โดยให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ชี้แจงข้อมูลและจัดส่ง เอกสารต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางภายใน 30 วันนับแต่ได้รับหนังสือแจ้ง โจทก์แถลงว่าประสงค์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องเป็นหนังสือตามคำสั่งศาล ภายในเวลาที่ศาลกําหนดพิเคราะห์แล้ว กรณีมีเหตุจำเป็น จึงให้เลื่อนไปนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาในวันที่ 17 ต.ค.65 เวลา 13.30 น.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดแชต “สีกากอล์ฟ” หลอกยืมเงิน “อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร” 4 แสน

18 ก.ค. – เปิดแชต “สีกากอล์ฟ” หลอกยืมเงิน “อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร” 400,000 บาท อ้างป่วย ต้องใช้เงินผ่าตัด และแลกหลักฐานกรณีอดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร มีความสัมพันธ์กับสีกากอล์ฟ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จ.พิจิตร หลงกลเล่ห์เหลี่ยมของสีกากอล์ฟ โดยเมื่อปี 2559 อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร ส่งข้อความไปหาสีกากอล์ฟ ว่ามีเรื่องสำคัญของบ้านเมืองจะปรึกษา และหว่านล้อมว่าสีกากอล์ฟเป็นบุคคลสำคัญยิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองส่วนหนึ่งใน จ.พิจิตร ไปในทิศทางที่ดีขึ้น หากให้ความร่วมมือจะมีผู้ใหญ่ใจดีที่พร้อมจะดูแลสีกากอล์ฟและลูก แล้วทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ติดต่อกลับ จากนั้นสีกากอล์ฟตอบกลับข้อความ ทำให้อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร เปิดเผยเป้าหมายทันทีว่าต้องการดำเนินการกับพระราชสิทธิเวที ในขณะนั้น (อดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร และอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าหลวง จ.พิจิตร ที่เพิ่งสึกไป) ซึ่งมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริต เสพเมถุน และประพฤติตนไม่เหมาะสม อาจเชื่อมโยงมาถึงสีกากอล์ฟ พร้อมเสนอเงิน 1 ล้านบาท แต่สีกากอล์ฟชวนอดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร คุยเรื่องทั่วไป โดยเฉพาะอ้างว่ามีอาการป่วย ต้องใช้เงินผ่าตัดประมาณ 400,000 บาท […]

“ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ

17 ก.ค. – “ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ งงทำไมคนไทยไม่รักกัน ตอกพรรคที่เพิ่งหลุดร่วมรัฐบาลไป เป็นเขมรหรือไทย หลังติง “ลูกอิ๊งค์” ขายชาติ บอกปัจจุบันการเมืองไม่มีเสถียรภาพเหมือนสมัยรัฐบาล “คึกฤทธิ์” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก พลิกเกมเศรษฐกิจไทย” และ “พลิกเกมเศรษฐกิจไทย สู่อนาคต” จัดโดย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม พร้อมครม. อาทิ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ […]

แม่ทัพภาค 2 เยี่ยมให้กำลังใจทหารบาดเจ็บเหยียบกับระเบิด

อุบลราชธานี 17 ก.ค.-แม่ทัพภาค 2 เยี่ยมให้กำลังใจทหารได้รับบาดเจ็บเหยียบกับระเบิด ซึ่งอาการโดยรวมดีขึ้น ที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ มณฑลทหารบกที่ 22 อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจกับทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ที่ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดทั้ง 3 นาย ซึ่งมีอาการโดยรวมดีขึ้น สำหรับทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้ง 3 นายประกอบด้วย ส.อ.ปฏิพัทธ์ ศรีลาศักดิ์ มีบาดแผลฟกซ้ำบริเวณหน้าอกจากการถูกแรงอัดระเบิด ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้า แต่ปัจจุบันดีขึ้น พลทหารณัฐวุฒิ ศรีเข้ม มีบาดแผลฟกซ้ำที่หน้าอกจากการอัดของระเบิด แน่นหน้าอก แต่ช่วยเหลือตัวเองได้ พลทหารธนพัฒน์ หุยวัน ต้องตัดขาซ้ายใต้เข่าจากแรงระเบิด มีอาการปวดแผล แต่กินอาหารได้ตามปกติ หลังเยี่ยมพูดคุยให้กำลังใจ แม่ทัพก็เดินทางกลับไป เพื่อไปติดตามสถานการณ์ชายแดนด้านจังหวัดสุรินทร์ต่อไป.-711.-สำนักข่าวไทย

จนท. เข้าพบพระพรหมบัณฑิต ขอตรวจสอบบัญชีเงินวัดประยูรฯ

กทม. 17 ก.ค. – ตำรวจ ปปป. ป.ป.ท. และเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ บุกวัดประยุรวงศาวาส เข้าตรวจสอบบัญชีเงินวัด เบื้องต้น  ยืนยันไม่ใช่การบุกค้นกุฏิ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาส พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา รักษาราชการแทนรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.), พ.ต.อ.สถาปนา จุณณวัตต์ ผู้กำกับการกองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธแห่งชาติแห่งชาติ เดินทางเข้าพบพระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เพื่อพูดคุยและขอข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารการเงินภายในวัด หลังอดีตเจ้าคุณประสิทธิ์ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาส เข้าไปพัวพันกับสีกากอล์ฟ และตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคำให้การของพยาน ที่พบเงินถูกพับในลักษณะถูกนำออกมาจากตู้บริจาคในบ้านของสีกากอล์ฟ ซึ่งการตรวจสอบในวันนี้จะเน้นเรื่องเส้นทางการเงินของวัดทั้งหมด ที่ต้องสงสัยว่าอาจมีบางส่วนถูกยักยอก หลังการตรวจสอบ ผู้กำกับการ 6 บก.ปปป. กล่าวว่า ไม่สามารถที่จะเปิดเผยข้อมูลได้ ผู้บังคับบัญชาจะเป็นผู้ชี้แจง หลังจากนี้จะนำข้อมูลต่างๆ กลับไปเรียนให้ผู้บังคับบัญชาได้ทราบ แต่ยืนยันว่า วันนี้เป็นเพียงแค่การเข้ามาขอข้อมูลเท่านั้น ด้านเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติระบุว่า เป็นเพียงการบูรณาการของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง และในการตรวจสอบเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหารแต่อย่างใด มีรายงานเพิ่มเติมว่าเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 หน่วยงาน ได้นำกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปตรวจสอบที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย หรือ […]

ข่าวแนะนำ

กรมอุตุฯ เตือนฝนตกหนักถึงหนักมาก

กทม. 19 ก.ค.-กรมอุตุฯ เตือนฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก คลื่นลมทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศฉบับที่ 5 เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทย คลื่นลมแรงบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน (มีผลกระทบในช่วงวันที่ 19-24 กรกฎาคม 2568) ประเทศไทยจะมีฝนตกหนักหลายพื้นที่และมีฝนตกหนักมากบางแห่ง บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน ประเทศลาวตอนบน และประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังค่อนข้างแรง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มจังหวัดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักถึงหนักมากมีดังนี้ วันที่ 19 กรกฎาคม 2568ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดหนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานีภาคกลาง: จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และสระบุรีภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ระยอง จันทบุรี และตราดภาคใต้: จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี […]

รวบแล้ว “เสือปุ่น” หัวหน้าแก๊งปล้นเงิน 3.4 ล้าน กลางห้างดัง

กรุงเทพฯ 18 ก.ค. – สืบนครบาลจับ “เสือปุ่น” หัวหน้าแก๊งปล้นเงิน 3.4 ล้าน กลางห้างดัง พร้อมสมุน หลังหนีซุกบ้านเช่าย่านลำลูกกา จ.ปทุมธานี เร่งล่าอีก 1 ยังหลบหนี กรณีคนร้าย 7 คน แก๊งเสือปุ่น ใช้อาวุธปืนและมีด ก่อเหตุปล้นเงินสด 3.4 ล้านบาท จากผู้มาซื้อคริปโตฯ เหตุเกิดที่ลานจอดรถชั้น 1 ห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง เมื่อคืนวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา ความคืบหน้าล่าสุด พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (ผบก.สส.บช.น.) พร้อมด้วย พ.ต.อ.สิทธิศักดิ์ นาคามาตย์ ผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น.) และตำรวจ บก.สส.บช.น. ร่วมกันจับกุม นายวรวัฒน์ หรือ เสือปุ่น อายุ 43 ปี […]

เดินหน้าเอาผิดหญิงกัมพูชาชี้หน้าด่าไล่ทหารไทย

18 ก.ค. – ปกติคดีทำร้ายร่างกายและจิตใจ ไม่ใช่คดีใหญ่ แต่เมื่อเป็นคู่กรณีไทย-กัมพูชา ในสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดน จึงกลายเป็นคดีระดับประเทศที่ผู้บังคับบัญชาให้ความสำคัญ และดำเนินการอย่างรัดกุม ทั้งคดีอดีตทหารพรานทำร้ายร่างกายทหารกัมพูชา และคดีหญิงกัมพูชา ชี้หน้าด่าไล่ทหารไทยบริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์.-สำนักข่าวไทย

ไทยเตรียมประท้วง UN หากทุ่นระเบิดเป็นของใหม่

18 ก.ค. – แม่ทัพภาค 2 ลั่นรอผลตรวจสอบกับระเบิดทำทหารไทยขาขาด หากเป็นของใหม่ จะเสนอประท้วงไปยังยูเอ็น ขอให้มีมาตรการคว่ำบาตรกัมพูชา ทำผิดอนุสัญญาออตตาวา กรณีทหารเหยียบกับระเบิด บนเนินช่องบก จ.อุบลราชธานี คาดว่าไม่เกิน 2 วัน จะชัดเจนว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่หรือของเก่า แต่มีคำยืนยันว่าไทยไม่เพิกเฉยเรื่องนี้แน่นอน พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 บอกว่า หากผลพิสูจน์ชัดเจนว่า ทุ่นระเบิดเป็นของใหม่ จะใช้กลไกกองทัพบกประสานต่อกระทรวงต่างประเทศ ให้ยื่นประท้วงกัมพูชาต่อองค์การสหประชาชาติ เพื่อดำเนินการคว่ำบาตรกัมพูชา ตามสนธิสัญญาออตตาวา ห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งไทยและกัมพูชาก็เป็นสมาชิกที่มีเกือบ 200 ประเทศทั่วโลก ส่วนมาตรการตอบโต้อย่างอื่น ยังบอกไม่ได้ สำหรับบริเวณช่องบก จุดเกิดเหตุระเบิดจนทำให้กำลังพลบาดเจ็บ 3 นาย จุดนั้น เป็นพื้นที่สู้รบเก่าที่สามารถพบทุ่นระเบิดเก่าได้ ซึ่งวันนี้ ทางชุดเก็บกู้ทุ่นระเบิดแห่งชาติ ที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านกับระเบิดซึ่งทั่วโลกยอมรับ ได้ลงพื้นที่พิสูจน์ มีแนวโน้มเป็นไปได้ทั้งนำมาวางไว้ก่อน หรือหลังเหตุปะทะที่ช่องบก เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ส่วนในพื้นที่ ได้กำชับกำลังพลทุกนายให้เฝ้าระวังมากยิ่งขึ้น แม่ทัพภาคที่ 2 ยังพูดถึงประเด็นดราม่า […]