เลื่อนฟังคำสั่งคดี “ชำนาญ” ฟ้องอดีต ปธ.ศาลฎีกา

กรุงเทพฯ 29 ส.ค. – ศาลเลื่อนฟังคำสั่ง “ชำนาญ” ฟ้องอดีต ปธ.ศาลฎีกา ออกคำสั่งไม่ได้เป็นผู้พิพากษาอาวุโส หลังเจ้าตัวยื่นฟ้องปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ชี้ข้อกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจ ก.ต. การกระทำขัดข้อกฎหมาย นัดอีกที 17 ต.ค.ให้โจทก์เเก้ฟ้อง พร้อมออกหมายเรียกเอกสารจาก สนง.ศาลยุติธรรม


เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 65 ที่ห้องพิจารณาคดี 402 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟ ศาลนัดฟังคำสั่งในชั้นตรวจคำฟ้องในคดีที่นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ อดีตประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา เป็นโจทก์ยื่นฟ้องอดีตประธานศาลฎีกา กรณีมีคำสั่งให้พ้นจากราชการ เพื่อรับบำเหน็จบำนาญโดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจ

โดยในวันนี้นายชำนาญ เดินทางมาฟังคำสั่งด้วยตนเอง โดยกล่าวก่อนเข้าห้องพิจารณาว่า คดีนี้ถือเป็นคดีสำคัญที่มีผลต่อระบบการแต่งตั้งผู้พิพากษาอาวุโสของข้าราชการตุลาการที่มีอายุครบ 65 ปี และการพ้นจากราชการของผู้พิพากษา ที่กฎหมายบัญญัติให้ข้าราชการตุลาการเกษียณอายุราชการเมื่ออายุ 70 ปีบริบูรณ์ ว่า การที่ ก.ต.มีมติไม่เห็นชอบให้ผู้พิพากษาที่อายุ 65 ปีบริบูรณ์ ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส และให้พ้นจากราชการ โดยที่ไม่ปรากฏว่าผู้นั้นถูกลงโทษให้ออกหรือไล่ออกจากราชการ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะ พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติมเมื่อปี พ.ศ.2560 อันเป็นกฎหมายที่บัญญัติหลักเกณฑ์การแต่งตั้งผู้พิพากษาอาวุโสและการพ้นจากตำแหน่ง มาตรา 6/1บัญญัติว่า


“ข้าราชการตุลาการ ซึ่งมีอายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณใด ให้พ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่เมื่อสิ้นปีงบประมาณนั้น และให้ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสจนกว่าจะพ้นจากราชการตามมาตรา 8/1แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543”

ซึ่งเป็นกรณีที่กฎหมายบังคับให้ข้าราชการตุลาการที่มีอายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ต้องพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่เมื่อสิ้นปีงบประมาณนั้น และบังคับให้ข้าราชการตุลาการผู้นั้นไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส จนกว่าจะพ้นจากราชการเมื่ออายุครบ 70ปี บริบูรณ์ ตามมาตรา 8/1 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 โดยมาตรา 6/1มิได้ให้อำนาจ ก.ต. ในการให้ความเห็นชอบว่าข้าราชการตุลาการที่อายุครบ 65 ปี ผู้ใดเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสหรือไม่ เพราะกฎหมายมีเจตนารมณ์เพียงแต่ไม่ให้ผู้พิพากษาที่อายุกว่า 65 ปี ไปดำรงตำแหน่งด้านการบริหาร จึงให้ปรับเปลี่ยนตำแหน่งไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสจนกว่าจะมีอายุครบ 70ปี ดังที่ปรากฏในหมายเหตุท้ายการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัตินี้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2560ว่า “โดยที่มีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้ข้าราชการตุลาการซึ่งมีอายุครบ65ปีบริบูรณ์ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสเพื่อทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีโดยไม่ดำรงตำแหน่งด้านบริหารจนกว่าจะพ้นจากราชการ  จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้”

ดังนั้น จึงเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนตำแหน่งจากตำแหน่งบริหารมาเป็นตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส แต่ยังคงเกษียณอายุราชการเมื่ออายุ 70ปี มาตรา 6/1จึงไม่ให้อำนาจ ก.ต. ต้องให้ความเห็นชอบว่าข้าราชการตุลาการผู้นั้นเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสหรือไม่ เพราะหาก ก.ต. ไม่ให้ความเห็นชอบผู้พิพากษาที่มีอายุ 65 ปี คนใดไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส และให้พ้นจากราชการ ย่อมเป็นการขัดต่อกฎหมายที่ให้ผู้พิพากษาเกษียณราชการเมื่ออายุ 70 ปีบริบูรณ์


ส่วนหากปรากฏว่าผู้พิพากษาที่อายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ คนใดถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย ก็เป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการทางวินัยซึ่งเป็นคนละส่วนกับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส เมื่อมาตรา 6/1บัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งสำหรับผู้พิพากษาที่มีอายุครบ 65ปี บริบูรณ์ แล้วว่า เป็นบทบังคับ “ให้ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสจนกว่าจะพ้นจากราชการตามมาตรา 8/1 แห่ง พรบ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543” ทั้งการพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 6/1เป็นการ พ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ เพื่อไปดำรง ตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสตามบทบังคับของกฎหมาย

ดังนั้น การพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 6/1จึง “มิใช่ การพ้นจากตำแหน่งซึ่งมีผลเป็นการให้พ้นจากราชการตามมาตรา 32แห่งพรบ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 ดังนั้น การที่ไม่ให้ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส จากนั้นให้ผู้พิพากษาพ้นจากราชการ โดยไม่ถูกลงโทษให้ออกหรือไล่ออกหรือพ้นจากราชการตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 จึงเป็นการให้ผู้พิพากษาพ้นจากราชการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ซึ่งหลักกฎหมายดังกล่าวบัญญัติขึ้น เพื่อเป็นหลักประกันความเป็นอิสระของผู้พิพากษา (Judicial Independence) เพื่อให้ผู้พิพากษามีหลักเกณฑ์ในการดำรงตำแหน่งที่มั่นคง การแต่งตั้งโยกย้ายและให้ผู้พิพากษาพ้นจากราชการจึงต้องเป็นไปตามกฎหมาย ไม่อาจกระทำตามอำเภอใจได้ ทั้งนี้ เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีเป็นไปอย่างเป็นอิสระ ไม่หวั่นเกรงว่าจะถูกโยกย้ายหรือให้พ้นจากราชการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

โดยในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้พิพากษาหลายท่านที่ ก.ต.ไม่เห็นชอบให้เป็นผู้พิพากษาอาวุโส และให้พ้นจากราชการ ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีสำคัญสำหรับวงการตุลาการในการที่ศาลจะวินิจฉัยว่า ก.ต.มีอำนาจไม่ให้ผู้พิพากษาที่อายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ไปเป็นผู้พิพากษาอาวุโสหรือไม่ และกรณีที่ไม่เห็นชอบให้เป็นผู้พิพากษาอาวุโสจะมีคำสั่งให้ผู้พิพากษาผู้นั้นพ้นจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญ โดยที่ยังไม่เกษียณอายุและไม่ได้ถูกลงโทษไล่ออกหรือปลดออกได้หรือไม่ เรื่องนี้จึงมิใช่เป็นเพียงเรื่องเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า มีกฎหมายให้อำนาจกระทำได้หรือไม่

ศาลออกนั่งพิจารณาตรวจฟ้องแล้ว เห็นว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องบรรยายฟ้องมีข้อความตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา มาตรา 158 มีข้อความที่เป็นการกล่าวหาเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นความผิดคดี ทุจริตและประพฤติมิชอบ และต้องระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่ากระทำความผิดพร้อมทั้งชี้ช่องพยานหลักฐานให้ชัดเจนเพียงพอที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง

แต่ฟ้องของโจทก์ไม่ได้ชี้ช่องพยานหลักฐานให้ชัดเจนเพียงพอที่จะดำเนินกระบวน พิจารณาต่อไปได้อันเป็นฟ้องไม่ถูกต้อง ศาลต้องมีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขให้ถูกต้องตาม พ.ร.บ.วิธี พิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559มาตรา 15 วรรคสาม ก่อนที่จะดำเนินกระบวน พิจารณาจึงมี คำสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้อง ภายใน 30วันนับแต่วันนี้

โดยบรรยายฟ้องให้ชัดแจ้ง ให้โจทก์ บรรยายฟ้องชี้ช่องพยานหลักฐานให้ชัดเจนว่ามีหลักฐานใดสนับสนุนหรือแสดงให้เห็นถึงการกระทำและ พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลย เพื่อให้ศาลใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบและรวบรวม พยานหลักฐานอันเป็นประเด็นแห่งคดีที่จะพิจารณาคดีต่อไปได้ พร้อมให้โจทก์อ้างส่งพยานเอกสารที่ เกี่ยวข้อง (ถ้าหากมี) ต่อศาล

ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ความแจ้งชัดในข้อเท็จจริงแห่งคดี อาศัยอำนาจตามข้อบังคับของประธาน ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีการดำเนินคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2554 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ข้อ 16 วรรคหนึ่ง ให้มีหนังสือถึงสำนักงานศาลยุติธรรมเพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ชี้แจ้งข้อมูลและจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องต่อศาล ดังต่อไปนี้ 1.การแต่งตั้งข้าราชการตุลาการให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส ก.ต.ต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถ ประวัติและผลงานการปฏิบัติราชการและ พฤติกรรมทางจริยธรรมเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสหรือไม่ อย่างไร และเป็นไปตาม กฎหมาย กฎ ระเบียบใดหรือไม่ อย่างไร

2.ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี ประธานศาลฎีกาออกคำสั่งสำนักงานศาลยุติธรรมที่1132/2562 หรือไม่ อย่างไร หากมี ประธานศาลฎีกามีหน้าที่ออกคำสั่งดังกล่าวหรือไม่ และเป็นไป ตามมติ ก.ต.ในการประชุมครั้งที่ 8-9/2562 ที่เห็นชอบแต่งตั้งให้นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษหรือไม่ อย่างไร และเป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบใดหรือไม่ อย่างไร

3.เหตุใด ก.ต.จึงมีมติในการประชุมครั้งที่ 16/2562 ให้นำมติ ก.ต.ครั้งที่ 8-9/2562เห็นชอบแต่งตั้งนายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ กลับมาทบทวน และการทบทวนมติดังกล่าว อาศัยอำนาจตามกฎหมาย กฎ ระเบียบใด และมติ ก.ต.ครั้งที่ 17/2562 ที่เห็นชอบให้นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ พ้นจากราชการเพื่อรับบำเหน็จ บำนาญเป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบใดหรือไม่ อย่างไร

4.ประธานศาลฎีกาออกคำสั่งสำนักงานศาลยุติธรรม ที่ 1531/2562 เรื่อง ให้ข้าราชการตุลาการพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ อย่างไร หากมี ประธานศาลฎีกามีหน้าที่ออกคำสั่งดังกล่าว หรือไม่ และคำสั่งนั้นเป็นไปตามมติของ ก.ต.หรือไม่ อย่างไร

5.ให้จัดส่งพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับกรณีข้างต้น (ถ้าหากมี) ต่อศาล โดยให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ชี้แจงข้อมูลและจัดส่ง เอกสารต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางภายใน 30 วันนับแต่ได้รับหนังสือแจ้ง โจทก์แถลงว่าประสงค์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องเป็นหนังสือตามคำสั่งศาล ภายในเวลาที่ศาลกําหนดพิเคราะห์แล้ว กรณีมีเหตุจำเป็น จึงให้เลื่อนไปนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาในวันที่ 17 ต.ค.65 เวลา 13.30 น.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ไฟไหม้รถยนต์ อดีต สส.ศิริโชค วอดทั้งคัน

สงขลา 5 ก.ค.-“ศิริโชค” อดีต สส.ปชป. เผยเหตุระทึก รถยนต์ PHEV ไฟลุกไหม้วอดทั้งคันกลางดึก ทั้งที่ไม่ได้ชาร์จ ภาพคลิปเหตุการณ์ไฟไหม้รถยนต์ส่วนตัวของนายศิริโชค โสภา อดีต สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งจอดอยู่บริเวณบ้านพักที่ อ.นาทวี จ.สงขลา ช่วงตี 3 เมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา (5 ก.ค.68) โดยเพจเฟซบุ๊ก “ศิริโชค โสภา” ได้โพสต์คลิปเหตุการณ์ พร้อมระบุข้อความว่า “อุทาหรณ์สยอง! ผมตื่นมากับเปลวเพลิงกลางดึก-ไฟลุกท่วมรถ PHEV ทั้งคัน ทั้งที่ไม่ได้ชาร์จ! เช้ามืดวันนี้ ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเสียง “ปะทุ” ดังสนั่นกลางความเงียบของตีสาม…เมื่อรีบวิ่งออกมาดู สิ่งที่ผมเห็นคือเปลวไฟสีส้มแดงกำลังลุกโชนอย่างบ้าคลั่งจากรถยนต์ PHEV ที่จอดนิ่งหน้าบ้าน ตอนนั้นผมไม่ได้เสียบชาร์จไว้ด้วยซ้ำ-จอดไว้เฉยๆ แต่จู่ๆ ไฟกลับลุกขึ้นมาเอง โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าแม้แต่นิดเดียว รถดับเพลิงต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะควบคุมเพลิงได้ และเมื่อไฟดับลง… สิ่งที่เหลืออยู่คือซากรถที่ไหม้เกรียมทั้งคันนี่ไม่ใช่แค่ความเสียหาย แต่คือคำเตือนที่น่ากลัวสำหรับผู้ใช้รถ EV และ PHEVแม้ไม่ได้ชาร์จ แม้จอดนิ่ง แบตเตอรี่ก็ยังมีโอกาสลุกไหม้ได้เองโดยไม่ทันตั้งตัว ไฟฟ้าเงียบ-แต่มันเผาผลาญทุกอย่างได้ในพริบตา ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ […]

ตาขับรถทับศีรษะหลานวัย 1 ขวบ ดับสลด

สุราษฎร์ธานี 5 ก.ค. – สุดสลด ตาขับรถกระบะไม่ทันดู เหยียบศีรษะหลานสาว วัย 1 ขวบ 5 เดือนเสียชีวิตคาที่ ตายายร้องไห้แทบขาดใจ สุดสลด ตาขับรถกระบะไม่ทันดู เหยียบศีรษะหลานสาว วัย 1 ขวบ 5 เดือนเสียชีวิตคาที่ หลังจากที่ตากลับจากซื้อของที่ตลาด เมื่อมาถึงบ้านซึ่งเปิดเป็นร้านขายของชำในอำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ขนของลงจากรถเสร็จ ระหว่างจะนำรถไปจอดไม่ทันสังเกตว่าหลานวิ่งอ้อมรถมา รู้อีกทีล้อรถหน้าด้านคนขับเหยียบเข้าที่ศีรษะของหลานแล้ว ทำให้หลานเสียชีวิตทันที เมื่อเห็นร่างหลาน ตาและยายร้องไห้แทบขาดใจ เพราะเลี้ยงหลานคนนี้มาตั้งแต่เล็กๆ ก่อนนำร่างส่งชันสูตรที่โรงพยาบาลพระแสงต่อไป.- สำนักข่าวไทย

อ.อ๊อด ชี้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ กรณีรถยนต์ไฟฟ้า อดีตสส.สงขลา ไฟไหม้

นครปฐม 5 ก.ค. – อาจารย์อ๊อด นักวิชาการสาขาเคมีอินทรีย์ แสดงความคิดเห็นว่า กรณีรถยนต์ไฟฟ้าของนายศิริโชค โสภา อดีต สส.สงขลา เกิดไฟไหม้ ถือเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติ และแบตเตอรี่อาจจะมีปัญหา จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก Sirichok Sopha หรือ นายศิริโชค โสภา อดีต สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ แชร์ประสบการณ์ โดยระบุข้อความว่า “เช้ามืดวันนี้ ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเสียง “ปะทุ” ดังสนั่นกลางความเงียบของตีสาม…เมื่อรีบวิ่งออกมาดู สิ่งที่ผมเห็นคือเปลวไฟสีส้มแดงกำลังลุกโชนอย่างบ้าคลั่งจากรถยนต์ PHEV ที่จอดนิ่งหน้าบ้าน รถคันนี้ซื้อจากศูนย์หาดใหญ่เมื่อ 2 ปีก่อน ผมใช้งานตามปกติ และที่สำคัญคือ ตอนนั้นผมไม่ได้เสียบชาร์จไว้ด้วยซ้ำ-จอดไว้เฉยๆแต่จู่ๆ ไฟกลับลุกขึ้นมาเอง โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าแม้แต่นิดเดียวรถดับเพลิงต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะควบคุมเพลิงได้ และเมื่อไฟดับลง… สิ่งที่เหลืออยู่คือ ซากรถที่ไหม้เกรียมทั้งคันนี่ไม่ใช่แค่ความเสียหาย แต่คือคำเตือนที่น่ากลัวสำหรับผู้ใช้รถ EV และ PHEVแม้ไม่ได้ชาร์จ แม้จอดนิ่ง แบตเตอรี่ก็ยังมีโอกาสลุกไหม้ได้เองโดยไม่ทันตั้งตัวไฟฟ้าเงียบ-แต่มันเผาผลาญทุกอย่างได้ในพริบตา” รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรือ อาจารย์อ๊อด นักวิชาการสาขาเคมีอินทรีย์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังคม […]

สพฐ. จัดทีมนิติกรช่วยครูการเงิน

กทม. 5 ก.ค.-สพฐ. จัดทีมนิติกรช่วยครูการเงิน กรณีถูกชี้มูลร่วมลงชื่อเบิกจ่ายค่าอาหารกลางวัน วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า ตามที่มีรายงานข่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ กรณีข้าราชการครูผู้รับผิดชอบงานการเงินของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ได้ร้องขอความเป็นธรรมภายหลังถูกชี้มูลความผิดร่วมกับอดีตผู้อำนวยการโรงเรียน จากการลงนามในเอกสารเบิกจ่ายค่าอาหารกลางวัน โดยยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดนั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต้นสังกัด และยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งลงโทษทางวินัยออกโดยเขตพื้นที่ฯ แต่อย่างใด สำหรับการดำเนินการในขั้นต่อไป สพฐ. ได้จัดเตรียมนิติกรจากส่วนกลาง เพื่อสนับสนุนการให้คำปรึกษาทางกฎหมายและการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ครูสามารถใช้สิทธิในการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ตามมาตรา 99 แห่งพระราชบัญญัติ ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 ได้อย่างเต็มที่ เลขาธิการ กพฐ. ระบุว่า กรณีนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ต้องทบทวนบทบาทภาระงานของครูในภารกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน โดยเฉพาะงานด้านการเงินและพัสดุ ซึ่งมีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงเชิงกฎหมายสูง สพฐ. จึงอยู่ระหว่างการปรับปรุงระบบสนับสนุนภายในโรงเรียน เพื่อให้โครงสร้างงานสนับสนุนมีความเหมาะสมกับวิชาชีพครูมากยิ่งขึ้น “ข้าราชการครูที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตจะไม่ต้องเผชิญกระบวนการตามลำพัง สพฐ. พร้อมอยู่เคียงข้างและสนับสนุนในทุกขั้นตอน เพื่อให้สามารถใช้สิทธิและเข้าถึงความเป็นธรรมได้อย่างมั่นใจครับ” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว.-416.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

รวบแล้วมือเผารถ “ศิริโชค” ญาติเผยจิตไม่ปกติ

6 ก.ค. – จับได้แล้ว มือวางเพลิงรถยนต์ “ศิริโชค” ตำรวจเค้นสอบ ยอมรับก่อเหตุจริง ญาติเผยจิตไม่ปกติ พูดคนเดียวมาหลายเดือน ด้าน “ศิริโชค” ไม่เชื่อลงมือเองจากอาการทางจิต น่าจะมีคนสั่งการอยู่เบื้องหลัง กล้องวงจรปิดจับภาพนายเบียร์ อายุ 29 ปี ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาในซอยบ้านพักของนายศิริโชค โสภา อดีต สส.เขต 7 สงขลา 4 สมัย พรรคประชาธิปัตย์ ช่วงตี 3 คืนวานนี้ (5 ก.ค.) ต.ฉาง อ.นาทวี จ.สงขลา และไปคุยกับคนเฝ้าบ้านนายศิริโชค ที่ประตูหน้าบ้าน ก่อนขี่รถออกไป จากนั้นช่วงเวลา 03.45 น. นายเบียร์ขี่รถย้อนกลับเข้าไปในซอยบ้านของนายศิริโชคอีกครั้ง ก่อนจะมีข่าวรถยนต์ GWM HAVAL H6 PHEV หรือปลั๊กอิน-ไฮบริด กึ่งไฟฟ้ากึ่งน้ำมัน เกิดเพลิงไหม้เสียหายหมดทั้งคัน ซึ่งขณะนั้น ยังไม่มั่นใจว่าเกิดจาะระบบรถยนต์ขัดข้อง หรือสาเหตุอย่างอื่น จนเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเป็นที่แน่ชัดว่า นายเบียร์เป็นคนก่อเหตุวางเพลิงรถยนต์ของนายศิริโชค […]

“โรม” ควง “เท้ง” ลงพื้นที่สระแก้ว ดูชายแดนไทย-กัมพูชา

สระแก้ว 6 ก.ค. – “โรม” ควง “เท้ง” ลงพื้นที่สระแก้ว ดูชายแดนไทย-กัมพูชา “สอบสวนกลาง-ดีเอสไอ-หน่วยงานปกครอง” ลงด้วยเพียบ สงสัยฝั่งตรงข้ามเป็นฐานสแกมเมอร์-คอลเซ็นเตอร์ หรือไม่ แย้มมีข้อมูลทุนใหญ่เป็นหลังบ้านผู้มีอำนาจกัมพูชา เจอแน่ปิดห้องคุยพรุ่งนี้ แนะสร้างเสาเซ็นเซอร์ตรวจจับชายแดน หมาแมวตรวจได้หมด หากลักลอบเข้า ด้าน “ชุติพงศ์” โวย เขมรไม่ทำรั้ว-รับผิดชอบ ปล่อยผ่านคนลักลอบเข้าออก นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร​ ลงพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว​ ร่วมกับคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ​ สภาผู้แทนราษฎร​ เพื่อดูการแก้ไขปัญหาความมั่นคงและการบริหารกิจการชายแดนไทย-กัมพูชา​ โดยมีหน่วยงานความมั่นคง​ นายอำเภอ​ กรมการปกครอง รวมถึงเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ลงพื้นที่ด้วย จุดแรกมาที่บริเวณด้านหลังห้างสรรพสินค้า​อรัญประเทศ​ โดย พ.อ.เมธี คำเต็ม ผู้บังคับการชุดควบคุมกรมทหารพรานที่ 12 กองกำลังบูรพา รายงาน​ว่า​ จุดนี้​เป็นพื้นที่​ที่การข่าวแจ้งว่า​ใช้เป็นช่องทางลักลอบข้ามไปฝั่งกัมพูชา​ เป้าหมายไปทำงานหรือเล่นการพนัน​ ปัจจุบันได้ซีลพื้นที่ตรงนี้แล้ว แต่ก็มีการลักลอบเข้าออกตลอด แม้จะมีสถานการณ์ไทย-กัมพูชา […]

“บิ๊กเต่า” ขอเวลาตรวจสอบให้ชัด คลี่ปมพัวพันสีกา ก.

6 ก.ค.- “บิ๊กเต่า” เผยคำให้การสีกา ก. เป็นประโยชน์ อาจโยงไปถึงการทุจริต แต่ขอเวลาตรวจสอบให้ชัด เตรียมประชุมคณะทำงานสัปดาห์หน้า เรียกผู้เกี่ยวข้องสอบเพิ่มเติม ยืนยันหากพบใครเอี่ยวพร้อมดำเนินคดี 12.00 น. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยถึงกรณีการเรียกตัวสีกาอักษรย่อ ก. มาสอบปากคำ ว่า หลังจากนำตัวสีกา ก. มาสอบ ก็ได้ข้อมูลในแนวทางที่ดีและมีประโยชน์ อาจนำไปสู่เรื่องที่อาจเอี่ยวกับการทุจริต แต่ก็จะต้องมีการตรวจสอบให้ละเอียด เพราะทุกอย่างต้องชัดเจน เนื่องจากคำให้การอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีหลักฐานอื่นประกอบด้วย จากคำให้การของสีกา ก. ว่า มีการเล่นพนันออนไลน์ แล้วเงินที่ใช้เล่นเป็นเงินส่วนไหน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกได้ แต่เขามีการเล่นพนันจริง” ตอนนี้มีการตั้งคณะทำงานตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว โดยมี ปปป. เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบ เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวพันหลายพื้นที่ ส่วนเรื่องบัญชีวัด ทางบก.ปปป. ก็มีอำนาจสามารถตรวจสอบได้เลย ประมาณวันจันทร์-อังคารที่จะถึงนี้ จะมีการประชุมถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ผู้สื่อข่าวถามว่า สีกา ก. เคยทำให้พระสึกมาแล้วถึง 2 รูป จริงหรือไม่ […]

รวบ “สังข์” ผู้ต้องหาแหกห้องขัง สภ.เมืองสกลนคร

6 ก.ค.- ตำรวจบุกรวบ “สังข์” ผู้ต้องหาคดีอาวุธปืนและยาเสพติด หลังก่อเหตุแหกห้องขัง สภ.เมืองสกลนคร จนมุมบนขบวนรถไฟ ขณะเตรียมหลบหนีเข้ากรุงเทพฯ ตำรวจสอบสวนกลาง หรือ CIB จับกุมนายเกียรติศักดิ์ หรือ สังข์ อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาคดีอาวุธปืนและยาเสพติด ได้บนขบวนรถไฟ ขณะเตรียมหลบหนีเข้ากรุงเทพฯ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวมาลงบันทึกการจับกุมที่ สน.เตาปูน และอยู่ระหว่างการควบคุมตัวกลับมาดำเนินคดีที่ สภ.เมืองสกลนคร นายเกียรติศักดิ์ ก่อเหตุหลบหนีจากห้องควบคุม สภ.เมืองสกลนคร เมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 13 มิถุนายน เจ้าหน้าที่พบเบาะแสหลบซ่อนตัวบนเทือกเขาภูพาน ขณะเดียวกันโซเชียลพากันแชร์ภาพนายเกียรติศักดิ์ พบว่า เป็นบุคคลอันตรายที่อาจมีอาวุธ หากใครพบเห็นห้ามเข้าใกล้ ทั้งนี้ สภ.เมืองสกลนคร ได้ปูพรมค้นหาตามล่าตัวและตั้งรางวัลนำจับ เป็นเงิน 3 หมื่นบาทให้กับผู้แจ้งเบาะแส .-สำนักข่าวไทย