เลื่อนฟังคำสั่งคดี “ชำนาญ” ฟ้องอดีต ปธ.ศาลฎีกา

กรุงเทพฯ 29 ส.ค. – ศาลเลื่อนฟังคำสั่ง “ชำนาญ” ฟ้องอดีต ปธ.ศาลฎีกา ออกคำสั่งไม่ได้เป็นผู้พิพากษาอาวุโส หลังเจ้าตัวยื่นฟ้องปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ชี้ข้อกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจ ก.ต. การกระทำขัดข้อกฎหมาย นัดอีกที 17 ต.ค.ให้โจทก์เเก้ฟ้อง พร้อมออกหมายเรียกเอกสารจาก สนง.ศาลยุติธรรม


เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 65 ที่ห้องพิจารณาคดี 402 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟ ศาลนัดฟังคำสั่งในชั้นตรวจคำฟ้องในคดีที่นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ อดีตประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา เป็นโจทก์ยื่นฟ้องอดีตประธานศาลฎีกา กรณีมีคำสั่งให้พ้นจากราชการ เพื่อรับบำเหน็จบำนาญโดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจ

โดยในวันนี้นายชำนาญ เดินทางมาฟังคำสั่งด้วยตนเอง โดยกล่าวก่อนเข้าห้องพิจารณาว่า คดีนี้ถือเป็นคดีสำคัญที่มีผลต่อระบบการแต่งตั้งผู้พิพากษาอาวุโสของข้าราชการตุลาการที่มีอายุครบ 65 ปี และการพ้นจากราชการของผู้พิพากษา ที่กฎหมายบัญญัติให้ข้าราชการตุลาการเกษียณอายุราชการเมื่ออายุ 70 ปีบริบูรณ์ ว่า การที่ ก.ต.มีมติไม่เห็นชอบให้ผู้พิพากษาที่อายุ 65 ปีบริบูรณ์ ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส และให้พ้นจากราชการ โดยที่ไม่ปรากฏว่าผู้นั้นถูกลงโทษให้ออกหรือไล่ออกจากราชการ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะ พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติมเมื่อปี พ.ศ.2560 อันเป็นกฎหมายที่บัญญัติหลักเกณฑ์การแต่งตั้งผู้พิพากษาอาวุโสและการพ้นจากตำแหน่ง มาตรา 6/1บัญญัติว่า


“ข้าราชการตุลาการ ซึ่งมีอายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณใด ให้พ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่เมื่อสิ้นปีงบประมาณนั้น และให้ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสจนกว่าจะพ้นจากราชการตามมาตรา 8/1แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543”

ซึ่งเป็นกรณีที่กฎหมายบังคับให้ข้าราชการตุลาการที่มีอายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ต้องพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่เมื่อสิ้นปีงบประมาณนั้น และบังคับให้ข้าราชการตุลาการผู้นั้นไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส จนกว่าจะพ้นจากราชการเมื่ออายุครบ 70ปี บริบูรณ์ ตามมาตรา 8/1 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 โดยมาตรา 6/1มิได้ให้อำนาจ ก.ต. ในการให้ความเห็นชอบว่าข้าราชการตุลาการที่อายุครบ 65 ปี ผู้ใดเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสหรือไม่ เพราะกฎหมายมีเจตนารมณ์เพียงแต่ไม่ให้ผู้พิพากษาที่อายุกว่า 65 ปี ไปดำรงตำแหน่งด้านการบริหาร จึงให้ปรับเปลี่ยนตำแหน่งไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสจนกว่าจะมีอายุครบ 70ปี ดังที่ปรากฏในหมายเหตุท้ายการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัตินี้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2560ว่า “โดยที่มีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้ข้าราชการตุลาการซึ่งมีอายุครบ65ปีบริบูรณ์ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสเพื่อทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีโดยไม่ดำรงตำแหน่งด้านบริหารจนกว่าจะพ้นจากราชการ  จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้”

ดังนั้น จึงเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนตำแหน่งจากตำแหน่งบริหารมาเป็นตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส แต่ยังคงเกษียณอายุราชการเมื่ออายุ 70ปี มาตรา 6/1จึงไม่ให้อำนาจ ก.ต. ต้องให้ความเห็นชอบว่าข้าราชการตุลาการผู้นั้นเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสหรือไม่ เพราะหาก ก.ต. ไม่ให้ความเห็นชอบผู้พิพากษาที่มีอายุ 65 ปี คนใดไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส และให้พ้นจากราชการ ย่อมเป็นการขัดต่อกฎหมายที่ให้ผู้พิพากษาเกษียณราชการเมื่ออายุ 70 ปีบริบูรณ์


ส่วนหากปรากฏว่าผู้พิพากษาที่อายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ คนใดถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย ก็เป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการทางวินัยซึ่งเป็นคนละส่วนกับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส เมื่อมาตรา 6/1บัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งสำหรับผู้พิพากษาที่มีอายุครบ 65ปี บริบูรณ์ แล้วว่า เป็นบทบังคับ “ให้ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสจนกว่าจะพ้นจากราชการตามมาตรา 8/1 แห่ง พรบ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543” ทั้งการพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 6/1เป็นการ พ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ เพื่อไปดำรง ตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสตามบทบังคับของกฎหมาย

ดังนั้น การพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 6/1จึง “มิใช่ การพ้นจากตำแหน่งซึ่งมีผลเป็นการให้พ้นจากราชการตามมาตรา 32แห่งพรบ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 ดังนั้น การที่ไม่ให้ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส จากนั้นให้ผู้พิพากษาพ้นจากราชการ โดยไม่ถูกลงโทษให้ออกหรือไล่ออกหรือพ้นจากราชการตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 จึงเป็นการให้ผู้พิพากษาพ้นจากราชการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ซึ่งหลักกฎหมายดังกล่าวบัญญัติขึ้น เพื่อเป็นหลักประกันความเป็นอิสระของผู้พิพากษา (Judicial Independence) เพื่อให้ผู้พิพากษามีหลักเกณฑ์ในการดำรงตำแหน่งที่มั่นคง การแต่งตั้งโยกย้ายและให้ผู้พิพากษาพ้นจากราชการจึงต้องเป็นไปตามกฎหมาย ไม่อาจกระทำตามอำเภอใจได้ ทั้งนี้ เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีเป็นไปอย่างเป็นอิสระ ไม่หวั่นเกรงว่าจะถูกโยกย้ายหรือให้พ้นจากราชการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

โดยในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้พิพากษาหลายท่านที่ ก.ต.ไม่เห็นชอบให้เป็นผู้พิพากษาอาวุโส และให้พ้นจากราชการ ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีสำคัญสำหรับวงการตุลาการในการที่ศาลจะวินิจฉัยว่า ก.ต.มีอำนาจไม่ให้ผู้พิพากษาที่อายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ไปเป็นผู้พิพากษาอาวุโสหรือไม่ และกรณีที่ไม่เห็นชอบให้เป็นผู้พิพากษาอาวุโสจะมีคำสั่งให้ผู้พิพากษาผู้นั้นพ้นจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญ โดยที่ยังไม่เกษียณอายุและไม่ได้ถูกลงโทษไล่ออกหรือปลดออกได้หรือไม่ เรื่องนี้จึงมิใช่เป็นเพียงเรื่องเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า มีกฎหมายให้อำนาจกระทำได้หรือไม่

ศาลออกนั่งพิจารณาตรวจฟ้องแล้ว เห็นว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องบรรยายฟ้องมีข้อความตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา มาตรา 158 มีข้อความที่เป็นการกล่าวหาเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นความผิดคดี ทุจริตและประพฤติมิชอบ และต้องระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่ากระทำความผิดพร้อมทั้งชี้ช่องพยานหลักฐานให้ชัดเจนเพียงพอที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง

แต่ฟ้องของโจทก์ไม่ได้ชี้ช่องพยานหลักฐานให้ชัดเจนเพียงพอที่จะดำเนินกระบวน พิจารณาต่อไปได้อันเป็นฟ้องไม่ถูกต้อง ศาลต้องมีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขให้ถูกต้องตาม พ.ร.บ.วิธี พิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559มาตรา 15 วรรคสาม ก่อนที่จะดำเนินกระบวน พิจารณาจึงมี คำสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้อง ภายใน 30วันนับแต่วันนี้

โดยบรรยายฟ้องให้ชัดแจ้ง ให้โจทก์ บรรยายฟ้องชี้ช่องพยานหลักฐานให้ชัดเจนว่ามีหลักฐานใดสนับสนุนหรือแสดงให้เห็นถึงการกระทำและ พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลย เพื่อให้ศาลใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบและรวบรวม พยานหลักฐานอันเป็นประเด็นแห่งคดีที่จะพิจารณาคดีต่อไปได้ พร้อมให้โจทก์อ้างส่งพยานเอกสารที่ เกี่ยวข้อง (ถ้าหากมี) ต่อศาล

ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ความแจ้งชัดในข้อเท็จจริงแห่งคดี อาศัยอำนาจตามข้อบังคับของประธาน ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีการดำเนินคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2554 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ข้อ 16 วรรคหนึ่ง ให้มีหนังสือถึงสำนักงานศาลยุติธรรมเพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ชี้แจ้งข้อมูลและจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องต่อศาล ดังต่อไปนี้ 1.การแต่งตั้งข้าราชการตุลาการให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส ก.ต.ต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถ ประวัติและผลงานการปฏิบัติราชการและ พฤติกรรมทางจริยธรรมเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสหรือไม่ อย่างไร และเป็นไปตาม กฎหมาย กฎ ระเบียบใดหรือไม่ อย่างไร

2.ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี ประธานศาลฎีกาออกคำสั่งสำนักงานศาลยุติธรรมที่1132/2562 หรือไม่ อย่างไร หากมี ประธานศาลฎีกามีหน้าที่ออกคำสั่งดังกล่าวหรือไม่ และเป็นไป ตามมติ ก.ต.ในการประชุมครั้งที่ 8-9/2562 ที่เห็นชอบแต่งตั้งให้นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษหรือไม่ อย่างไร และเป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบใดหรือไม่ อย่างไร

3.เหตุใด ก.ต.จึงมีมติในการประชุมครั้งที่ 16/2562 ให้นำมติ ก.ต.ครั้งที่ 8-9/2562เห็นชอบแต่งตั้งนายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ กลับมาทบทวน และการทบทวนมติดังกล่าว อาศัยอำนาจตามกฎหมาย กฎ ระเบียบใด และมติ ก.ต.ครั้งที่ 17/2562 ที่เห็นชอบให้นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ พ้นจากราชการเพื่อรับบำเหน็จ บำนาญเป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบใดหรือไม่ อย่างไร

4.ประธานศาลฎีกาออกคำสั่งสำนักงานศาลยุติธรรม ที่ 1531/2562 เรื่อง ให้ข้าราชการตุลาการพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ อย่างไร หากมี ประธานศาลฎีกามีหน้าที่ออกคำสั่งดังกล่าว หรือไม่ และคำสั่งนั้นเป็นไปตามมติของ ก.ต.หรือไม่ อย่างไร

5.ให้จัดส่งพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับกรณีข้างต้น (ถ้าหากมี) ต่อศาล โดยให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ชี้แจงข้อมูลและจัดส่ง เอกสารต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางภายใน 30 วันนับแต่ได้รับหนังสือแจ้ง โจทก์แถลงว่าประสงค์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องเป็นหนังสือตามคำสั่งศาล ภายในเวลาที่ศาลกําหนดพิเคราะห์แล้ว กรณีมีเหตุจำเป็น จึงให้เลื่อนไปนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาในวันที่ 17 ต.ค.65 เวลา 13.30 น.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ลิณธิภรณ์” แจงปมสะกดคำผิด ยอมรับผิดพลาดพร้อมแก้ไข

กระทรวงวัฒนธรรม 4 ก.ค.- “ลิณธิภรณ์” ยอมรับดรามาใช้ภาษาไทยสะกดคำผิด พร้อมแก้ไขปรับปรุงตัว รับปากจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก บอก บางครั้งรีบพิมพ์ไม่ได้ตรวจทาน ทำเกิดผลเสียทุกวันนี้ แจงมีปัญหาสุขภาพ อาจทำให้ออกเสียงควบกล้ำไม่ได้ น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ถึงดรามาเรื่องการใช้ภาษาไทยในโซเชียลมีเดีย ว่า ตนขอยอมรับอย่างซื่อตรง ว่าบางครั้งในการสะกดคำของตนเองก็มีความผิดพลาด ซึ่งบางครั้งใช้การพิมพ์ด้วยเสียงผ่านโทรศัพท์มือถือ และได้โพสต์ข้อความไปแล้ว ก่อนจะมารู้ตัวอีกทีก็ผ่านไป 2-3 ชั่วโมง มันเป็นความผิดพลาด อันนี้ตนยอมรับด้วยความจริงใจ และวันนี้ตนก็เข้าใจดีว่าเมื่อมานั่งตำแหน่งตรงนี้ สิ่งที่จำเป็นต้องทำ คือต้องปรับปรุง และคิดว่าหลังจากนี้ความผิดพลาดเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะตนก็อยากเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กและเยาวชน ของประเทศเหมือนกัน รวมถึงอีกสิ่งที่ตนอยากจะบอกคือการออกเสียงควบกล้ำ ซึ่งเป็นผลกระทบ จากปัญหาสุขภาพ แต่ส่วนหนึ่งตนก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า วันนี้ตนเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในภาพนโยบายใหญ่ คงต้องขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยใน รายละเอียดที่ชัดเจน และจะเข้ากระทรวงพร้อมกันในวันที่ 8 กรกฎาคม สำหรับตนหากใครที่เคยติดตาม ก็เคยเป็นคนหนึ่งที่ พูดเรื่องการศึกษาในส่วนของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด ตั้งแต่เป็นโฆษกพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะเรื่องการลดค่าสอบทีแคส (TCAS) รวมถึงเรื่องการทำโครงการ ด้านสุขภาพภาวะจิต และอาจจะเป็นโครงการหนึ่งที่ตนจะสานต่อ […]

มอบ “จิราพร” เข้าร่วมประชุมผู้นำ BRICS ที่บราซิล

ทำเนียบ 3 ก.ค.-มอบ “จิราพร” เข้าร่วมประชุมผู้นำ BRICS ครั้งที่ 17 ที่บราซิล 6-7 ก.ค.นี้ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมผู้นำกลุ่ม BRICS ครั้งที่ 17 ระหว่างวันที่ 6 – 7 กรกฎาคม 2568 ร่วมกับผู้นำจาก 10 ประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS และประเทศหุ้นส่วนจากหลากหลายประเทศ ที่นครรีโอเดจาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล โดยไทยเข้าร่วมในฐานะประเทศหุ้นส่วนของกลุ่ม BRICS (Partner Country) สำหรับการประชุมผู้นำกลุ่ม BRICS จะจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “เสริมสร้างความร่วมมือโลกใต้เพื่อการสร้างธรรมาภิบาลที่ครอบคลุมและยั่งยืนยิ่งขึ้น โดยบราซิลในฐานะประธานกลุ่ม BRICS ปีนี้ ให้ความสำคัญกับประเด็นหลัก 6 ด้าน ได้แก่ (1) สาธารณสุข (2) การค้า การลงทุน และการเงิน (3) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (4) ธรรมาภิบาลของปัญญาประดิษฐ์ […]

Hun Sen, at event marking ruling party's 74th founding anniversary

ฮุน เซน เรียกร้องปั๊ม ปตท. งดนำเข้าน้ำมันจากไทย

พนมเปญ 3 ก.ค.- นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ยังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเรียกร้องให้เจ้าของปั๊ม ปตท.เลิกนำเข้าน้ำมันจากไทย และหันไปนำเข้าจากประเทศอื่นแทน สื่อของกัมพูชารายงานว่า นายฮุน เซน พูดถึงเรื่องนี้ในระหว่างการประชุมกับครูและนักเรียนที่ศูนย์การศึกษาและฝึกอบรมในจังหวัดไพรแวงในวันนี้ เรียกร้องให้เจ้าของปั๊มน้ำมัน ปตท.ทุกแห่งในกัมพูชาเลิกนำเข้าน้ำมันจากไทย และหันไปนำเข้าน้ำมันจากประเทศอื่น ๆ แทน ไม่ว่าจะเป็นจากเวียดนาม  มาเลเซีย หรือสิงคโปร์ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อปั๊ม แม้ว่า ปตท.จะเป็นรัฐวิสาหกิจของไทยก็ตาม นอกจากนี้นายฮุน เซนยังพูดถึงเรื่องที่ไทยเคยขู่ว่าจะตัดไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต ห้ามขายเชื้อเพลิง และอื่นๆ ให้กัมพูชาด้วยว่า เมื่อไทยขู่มากัมพูชาก็ตอบโต้ทันที กัมพูชาต้องพึ่งพาตนเองให้ได้เพื่อรับมือกับภัยคุกคามในอนาคตเหมือนกับที่กำลังเผชิญจากไทยในเวลานี้ แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากไทย แต่กัมพูชาก็ได้ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้ของกัมพูชา ประธานวุฒิสภากัมพูชาเน้นย้ำว่า มาตรการทั้งหมดที่กัมพูชาได้ดำเนินไปนั้นเป็นการตอบโต้โดยตรงกับภัยคุกคามจากฝ่ายไทย รวมทั้งการที่ไทยปิดด่านพรมแดนแต่เพียงฝ่ายเดียว เขาแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า การเจรจากับไทยจะเริ่มขึ้นได้ ต่อเมื่อฝ่ายไทยจะต้องยอมเปิดด่านทุกจุดอย่างเต็มรูปแบบเหมือนที่เคยทำก่อนวันที่ 7 มิถุนายนแล้วเท่านั้น.-816(814).-สำนักข่าวไทย

เปิด 7 จุดยืน “ปชน.” ทางออกประเทศหาก “แพทองธาร” พ้นเก้าอี้

กรุงเทพฯ 4 ก.ค. – พรรคประชาชนโพสต์เฟซบุ๊กแสดง 7 จุดยืน หาก “แพทองธาร” พ้นตำแหน่ง เปิดเงื่อนไขโหวตนายกฯ คนใหม่ พรรคประชาชนโพสต์เฟซบุ๊กแสดง 7 จุดยืน หาก “นายกฯ แพทองธาร” พ้นจากตำแหน่ง เพื่อนำพาประเทศไปสู่ทางออกที่จะเป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับประชาชนทุกคน ดังนี้ 1.สิ่งที่ประเทศต้องการมากที่สุด คือรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีความชอบธรรม และสามารถตั้งทีมบริหารจากความรู้ความสามารถ ไม่ใช่จากการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง2.รัฐบาลที่จะมีคุณสมบัติดังกล่าวจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากสภาชุดปัจจุบัน ทางออกสำหรับประเทศจึงเป็นการจัดให้มี “การเลือกตั้งใหม่” โดยเร็ว3.รักษาการนายกฯ ควรประกาศให้ชัดเจนว่าจะใช้อำนาจที่ตนเองมี ในการเดินหน้าสู่การยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนผ่านคูหาเลือกตั้ง4.หากรักษาการนายกฯ ไม่ทำ และมีเหตุใดที่ทำให้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร พ้นจากตำแหน่ง กระบวนการในการเลือกนายกฯ คนใหม่ จะต้องนำไปสู่การได้มาซึ่งนายกฯ ที่พร้อมเดินหน้าสู่การยุบสภา5.เพื่อให้ประเทศไม่ถูกบีบไปสู่ทางตันหรือการใช้อำนาจนอกครรลองประชาธิปไตย เราพร้อมจะพิจารณาลงมติให้กับผู้เสนอตัวเป็นนายกฯ คนใหม่คนใดก็ตาม ที่ยอมรับ “เงื่อนไข” ในการเป็นรัฐบาลชั่วคราว โดยทางพรรคประชาชนจะไม่เข้าร่วมรัฐบาลและจะไม่มีใครจากพรรคประชาชนไปเป็นรัฐมนตรี 6.“เงื่อนไข” ในการเดินหน้าสู่การยุบสภา สำหรับนายกฯ คนใหม่ จะต้องประกอบไปด้วยอย่างน้อย6.1 การประกาศเส้นตายว่าจะยุบสภาภายในสิ้นปี6.2 การยืนยันภารกิจเฉพาะหน้าที่จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว (เช่น การดำเนินการให้มีการจัดประชามติพร้อมกับการเลือกตั้ง เพื่อถามประชาชนเรื่องการมี […]

ข่าวแนะนำ

“ภูมิธรรม​” ย้ำมาตรการชายแดนไทย-กัมพูชาคงเดิม มอบอำนาจ “บิ๊กเล็ก​” เบ็ดเสร็จ

ทำเนียบ 4 ก.ค.-“ภูมิธรรม​” ย้ำมาตรการชายแดนไทย-กัมพูชา คงเดิม ไม่มีผ่อนปรนเข้า-ออกข้ามแดน มอบอำนาจ “บิ๊กเล็ก​” เบ็ดเสร็จ เว้นแต่เปิดด่านต้องเข้าที่ประชุม สมช. นาย​ภูมิธรรม​ เวชย​ชัย​ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง​ เปิดเผยภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติหรือ​ สมช.​ ว่า ตอนนี้ พลเอกณัฐพล​ นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม​ ได้มารายงานสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาให้ทราบ และสรุปว่าสถานการณ์ยังคงมีความตึงเครียด จึงยังคงมาตรการทั้งหมดที่ทำไว้ ซึ่งสมช.ได้รับทราบและขอบคุณที่ทาง ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา หรือ​ ศบ.ทก. ได้ทำงานมาอย่างต่อเนื่อง และมีมติมอบอำนาจให้พลเอกณัฐพล​ มีอำนาจรับผิดในรายละเอียด​ พูดคุยกับกองทัพ​ ซึ่งอยู่ในคณะกรรมการชุดนี้อยู่แล้ว และให้ไปดำเนินการ หาทางที่คลายปัญหา เมื่อถามว่าไม่ได้มีการพูดคุยถึงการผ่อนปรนมาตรการการผ่านข้ามแดนไทย -กัมพูชาใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม ยืนยัน​ว่าไม่มี ไม่ได้คุยเรื่องการเปิดด่านแต่อย่างใด และยังคงยืนยันตามมติเดิม เพียงแต่มอบอำนาจให้ พลเอกณัฐพล​ ซึ่งไม่ต้องมารายงานเรื่องละเอียดเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้แบบเบ็ดเสร็จ​ ซึ่งพลเอกณัฐพล ก็เป็นตัวแทนรัฐบาลในทีมไทยแลนด์​อยู่แล้ว​ เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไปในการพิจารณาหาทางออก จนกระทั่งได้คำตอบว่าควรจะทำอย่างไร เมื่อถามว่าแปลว่าทุกเรื่องหลังจากนี้ไปไม่ต้องมารายงานแล้ว แต่มีอำนาจเต็มในการตัดสินใจใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า มีเรื่องที่ต้องไปพิจารณาหาทางออก […]

“แพทองธาร” หารือผู้บริหาร ก.วัฒนธรรม

ก.วัฒนธรรม 4 ก.ค.-“แพทองธาร” หารือผู้บริหาร ก.วัฒนธรรม แจงข่าวปลอมไทยคืนวัตถุโบราณ 20 รายการ ให้กัมพูชาไม่จริง ชี้ทำตั้งแต่ “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์” พร้อมสั่งเบรกจัดสรรงบฯ คืนวัตถุโบราณกัมพูชา จ่อแจ้งความคนปล่อยเฟกนิวส์ ปลุกปั่น “กลุ่มปราสาทตาเมือน” ยันอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยไทย ช่วงบ่ายวันนี้ (4 ก.ค.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม โดย น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นการประชุมครั้งแรก มีข้อที่อยากจะฝากเอาไว้ และอยากจะให้ช่วยกันผลักดัน รวมถึงอยากจะอัปเดตข้อมูลให้ฟัง ซึ่งวันนี้ตนได้ทำการบ้านมาเล็กน้อย และรู้สึกดีใจที่จะได้ฟังจากทุกคนว่า แต่ละหน่วยงานแต่ละฝ่ายทำอะไรกันอยู่บ้าง และในกระทรวงฯ มีอะไรที่อยากให้ดำเนินการเพิ่มเติมบ้าง ประเด็นแรก อยากจะขอชี้แจงเรื่องข่าวปลอม เรื่องการส่งคืนวัตถุโบราณ จำนวน 20 รายการ ให้กับประเทศกัมพูชา ตนขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เพราะการคืนวัตถุโบราณให้กับประเทศกัมพูชา มีมาตั้งแต่สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2558 ซึ่งประเทศไทยได้คืนไปแล้ว […]

“สุชัชวีร์” ไขก๊อก “ปชป.” เล็งรวมคนตั้งพรรคใหม่

พรรคประชาธิปัตย์ 4 ก.ค.- “สุชัชวีร์” ไขก๊อก ลาออก “ปชป.” เตรียมรวมคนตั้งพรรคใหม่ ทำการเมืองระดับประเทศ เน้นพัฒนาคนจากการศึกษา ลั่นถ้าการศึกษาเปลี่ยนไม่ได้ อย่าหวังว่าประเทศไทยจะมีอนาคต ส่อไม่ลงผู้ว่าฯ กทม.ต่อ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางมาที่พรรคประชาธิปัตย์ในเวลา 10.00 น. เพื่อกราบไหว้พระแม่ธรณีบีบมวยผม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำพรรค ดร.สุชัชวีร์ เปิดเผยว่า ในช่วงเช้าได้ให้เลขานุการส่วนตัวยื่นหนังสือลาจากเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองของคณะกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคประชาธิปัตย์เรียบร้อยแล้ว และต้องขอกราบขอบคุณสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และหัวหน้าพรรคซึ่งตนได้โทรศัพท์เรียนให้ทราบถึงการตัดสินใจไปแล้ว รวมทั้งขอบคุณกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้เกียรติ ทำงานกับพรรคการเมืองที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ขอยืนยันชัดเจนว่าไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งใด ๆ แต่มาจากอุดมการณ์และความฝันของตนที่ออกมาทำงานการเมือง ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในประเทศจริง ๆ เพราะวันนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะที่วิกฤติ และสถานการณ์ขณะนี้รอไม่ได้ ดังนั้นด้วยความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศที่เริ่มต้นจากการพัฒนาคนเรื่องการศึกษา ถือเป็นความตั้งใจอันแน่วแน่และเป็นการตัดสินใจอย่างรอบคอบว่าจากนี้เป็นต้นไปจะใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ทั้งหมด มาใช้ในการเปลี่ยนแปลงประเทศ และเริ่มต้นจากการเปลี่ยนเรื่องของการศึกษา ถ้าเราไม่เปลี่ยนเราแพ้เวียดนามแน่นอน ซึ่งเรื่องนี้ตนยอมไม่ได้ เมื่อถามว่าส่วนหนึ่งในเหตุผลการลาออกคือ พรรคประชาธิปัตย์ยังตัดสินใจร่วมรัฐบาลอยู่ใช่หรือไม่ นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า นั่นเป็นการตัดสินใจของพรรค ตนให้เกียรติหัวหน้าพรรคและผู้ใหญ่ในพรรค และไม่ใช่เหตุผลที่ตัดสินใจลาออก เพราะตนมีเหตุผลชัดเจนอย่างที่กล่าวมา ซึ่งสถานการณ์ในประเทศไทยตอนนี้ วิกฤติทางการเมือง […]

ปิดลงทะเบียน “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ย้ายไปแอปฯ “ทางรัฐ”

4 ก.ค.- “สรวงศ์” รมว.ท่องเที่ยวฯ สั่งปิดลงทะเบียน “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ชั่วคราว หลังพบปัญหาต่อเนื่อง เตรียมย้ายไปเปิดใหม่ผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” ยันไม่กระทบผู้ที่ลงทะเบียนรับสิทธิแล้ว นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาการลงทะเบียน “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ที่เริ่มเปิดเมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา ก่อนเกิดปัญหาต่อเนื่องจนถึงขณะนี้ เพื่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วขึ้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานว่าอยู่ระหว่างพิจารณา 2 แนวทาง คือ ล่าสุดเช้าวันนี้ นายสรวงศ์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวไทย ว่า ล่าสุดยังได้รับรายงานถึงปัญหาการลงทะเบียนมาอย่างต่อเนื่อง จึงสั่งการให้หยุดการลงทะเบียน “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ผ่านทางเว็บไซต์ www.เที่ยวไทยคนละครึ่ง หรือแอปฯ Amazing Thailand ตั้งแต่บัดนี้ทันที แล้วให้ย้ายไปลงทะเบียนที่แอปฯ “ทางรัฐ” เพราะมีระบบยืนยันตัวตนในแอปฯ อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขั้นตอน ส่วนจะเริ่มได้เมื่อใด ณ เวลานี้ยังตอบชัดเจนไม่ได้ แต่วันนี้ (4 ก.ค.) จะหารือกับทีมเทคนิค ฝ่ายไอทีว่าจะสามารถย้ายระบบมาลงทะเบียนได้เร็วที่สุดเมื่อใด ยืนยันจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด […]