กรุงเทพฯ 26 ก.ค. – ผู้ประกอบการม 12 ราย แปลงสำรวจ จำนวน 8 แปลง พาเหรดวางหลักประกันการรื้อถอน แสดงออกถึงความรับผิดชอบของผู้รับสัมปทานที่ดี พร้อมปฏิบัติตามกฎหมายไทย
นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า บริษัทผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมในประเทศไทย วางหลักประกันการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในการประกอบกิจการปิโตรเลียมต่อกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดแผนงาน ประมาณการค่าใช้จ่าย และหลักประกันในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียม พ.ศ. 2559 ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 80/1 และ 80/2 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบของผู้รับสัมปทานปิโตรเลียม ในการปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายและหน้าที่รับผิดชอบการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียม รวมทั้งทำให้รัฐมีความมั่นใจว่าผู้รับสัมปทานจะไม่ละทิ้งหน้าที่ตามกฎหมายในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งภายหลังสิ้นสุดการใช้งาน
โดยที่ผ่านมามีผู้รับสัมปทาน จำนวน 12 ราย สำหรับแปลงสำรวจ จำนวน 8 แปลง ที่ได้ดำเนินการในการยื่นแผนงานการรื้อถอน และวางหลักประกันการรื้อถอนตามเงื่อนไขที่กำหนดอย่างถูกต้อง ประกอบด้วย 1. ซิโน-ยู.เอส. ปิโตรเลียม อิงค์ 2. Central Place Company Ltd. 3. Thai Offshore Petroleum Ltd. 4. Sino Thai Energy Ltd. 5. เอ็กซอน โมบิล เอ็กซ์โพลเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ 6. บริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด 7. บริษัท ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่ลแนล จำกัด 8. บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) 9. เมดโค เอนเนอร์จี ไทยแลนด์(บัวหลวง) ลิมิเต็ด 10. เมดโค เอนเนอร์จี ไทยแลนด์ (อีแอนด์พี) ลิมิเต็ด 11. บริษัท บุษราคัม มโนรา จำกัด และ 12. บริษัท Tap Energy (Thailand) Pty Ltd.
“กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติต้องขอขอบคุณทุกบริษัทสำหรับความร่วมมือในการปฏิบัติตามกฎหมายของไทย และปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ถูกต้องตามหลักเทคนิคและวิธีการปฏิบัติงานปิโตรเลียมที่ดีสำหรับการประกอบกิจการปิโตรเลียมและการอนุรักษ์ทรัพยากรปิโตรเลียม” อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกล่าว
ทั้งนี้ การวางหลักประกันการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในการประกอบกิจการปิโตรเลียมนอกจากจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับประเทศว่าผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมจะสามารถดำเนินการรื้อถอน ฟื้นฟู ปรับปรุงสภาพพื้นที่ และจัดการสิ่งติดตั้งในการประกอบกิจการปิโตรเลียมที่เลิกใช้งานแล้วอย่างเหมาะสม โดยมีเป้าหมายที่จะให้พื้นที่เหล่านั้นกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก ยังเป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสังคม สอดคล้องกับหลักแนวคิด ESG ที่คำนึงถึงประเด็นพื้นฐานใน 3 ด้านที่สำคัญ ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental : E) คือ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการรักษาและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจ ด้านสังคม (Social : S) คือ การบริหารประโยชน์ของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับองค์กร เช่น พนักงาน ลูกค้า และชุมชน อย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม และด้านธรรมาภิบาล (Governance : G) คือ การดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ ภายใต้กฎ ระเบียบ และข้อบังคับต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด และดูแลผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทอย่างเป็นธรรม ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน.-สำนักข่าวไทย