กรุงเทพฯ 3 มี.ค. – “ศักดิ์สยาม” สั่งการท่าเรือฯ ตั้งเป้าขึ้นชั้น 1 ใน 9 ท่าเรือระดับโลก “world class” ในปี 68 เตรียมเสนอ ครม.ภายในปีนี้ จัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ ผุด 3 บริษัทเดินเรือ “ในประเทศ-อีสต์-เวสต์” รองรับท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3-แลนด์บริดจ์ เพิ่มขีดความสามารถแข่งขันของไทย เป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมขนส่งทางน้ำของภูมิภาคอาเซียนและโลก

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ว่า จากนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการพัฒนาโลจิสติกส์ทุกรูปแบบ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้เป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมขนส่งของภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะโลจิสติกส์ทางน้ำที่เป็นการขนส่งที่มีต้นทุนต่ำนั้น ตนจึงได้มอบนโยบายให้ กทท. เร่งรัดโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ระยะที่ 3 และการนำระบบท่าเรืออัตโนมัติ (Port Automation) มาใช้ในการปฏิบัติงานและการให้บริการ เพื่อให้เกิดความแน่นอนและแม่นยำในการวางแผนบรรทุกและการขนถ่ายสินค้า อำนวยความสะดวกในการบริหารพื้นที่หลังท่า โดย กทท. ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกำหนดในปี 2568 เพื่อส่งเสริมศักยภาพของระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)
ขณะเดียวกัน ให้ กทท. และกรมเจ้าท่า (จท.) เร่งรัดผลักดันให้มีการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ ในรูปแบบบริษัท 3 บริษัท สายการเดินเรือในประเทศ (Domestic) และสายการเดินเรือต่างประเทศ (International) ซึ่งจะมี 2 บริษัท คือ บริษัท สายการเดินเรือต่างประเทศฝั่งตะวันออก และบริษัท สายการเดินเรือต่างประเทศฝั่งตะวันตก ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเสนอต่อ ครม.ได้ไม่เกินสิ้นปี 2565 โดยกล่าวว่า เมื่อจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติจะส่งเสริมและพัฒนากองเรือพาณิชย์ไทย รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางน้ำ ลดต้นทุนการขนส่งโลจิสติกส์ สนับสนุนการส่งออกและนำเข้า เพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยกองเรือไทย รวมทั้งลดการขาดดุลบริการด้านค่าระวางเรือ และเสริมศักยภาพการแข่งขันให้กับกองเรือไทย

นอกจากนั้นให้เร่งรัดดำเนินการในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (แลนด์บริดจ์) ซึ่งขั้นตอนขณะนี้ทางสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้ทำการศึกษาอยู่ และตามนโยบายกระทรวงคมนาคม ภายในปี 2572 โครงการแลนด์บริดจ์ จะเห็นเป็นรูปธรรม โดยมั่นใจว่า โครงการแลนด์บริดจ์จะช่วยพัฒนาท่าเรือทั้ง 2 ฝั่งทะเล ให้เชื่อมต่อระบบการขนส่งอื่นอย่างไร้รอยต่อ ช่วยลดเวลา ต้นทุนการขนส่งสินค้าทางน้ำ และคน ประกอบกับแลนด์บริดจ์จะดึงให้ผู้ประกอบการจากทั่วโลกหันมาใช้เส้นทางแลนด์บริดจ์เชื่อมโยงมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกแทนเส้นทางการค้าเดิม คือ ช่องแคบมะละกา และจากการศึกษายังพบว่า ปัจจุบันช่องแคบมะละกามีเรือขนส่งผ่านกว่า 80,000 ลำ/ปี และคาดว่าใน 10 ปี จะมีปริมาณมากถึง 120,000 ลำ/ปี ซึ่งถือเป็นการจราจรที่หนาแน่นมาก ดังนั้น แลนด์บริดจ์จะเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันของไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมขนส่งทางน้ำของภูมิภาคอาเซียนและโลก
“ปัจจุบัน กทท.ได้มีการปรับปรุงท่าเรือและการบริการให้มีความทันสมัยในทุกๆ ท่าเรือ ทำให้สามารถรองรับปริมาณตู้สินค้าผ่านท่า รวมกว่า 9.8 ล้านทีอียู และหากท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 แล้วเสร็จในปี 2568 จะสามารถรองรับตู้ผ่านท่าได้ รวมกว่า 18 ล้านทีอียู ดังนั้น จึงได้ให้นโยบาย กทท. ว่าจะต้องขึ้นอันดับ 1 ใน 9 ท่าเรือระดับโลก หรือ world class ให้ได้เป็นเลขตัวเดียว ภายในปี 2568 จากปัจจุบันท่าเรือของ กทท. อยู่อันดับ 20 ของโลก” นายศักดิ์สยาม กล่าว
ด้านนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ได้มอบแนวทางการดำเนินงานให้กับ กทท. เพิ่มเติมให้ไปดูการบริหารจัดการท่าเรือที่ประสบภาวะการบริหารที่ขาดทุน เช่น ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน และท่าเรือระนอง ให้กลับมาได้กำไรอีกครั้ง โดยต้องช่วยกันบูรณาการหารือกับภาคเอกชนและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง การส่งเสริมสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางจากท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) เข้าสู่กรุงเทพมหานคร เพื่อลดปัญหาจราจร และลดต้นทุนการขนส่งสินค้า
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) กล่าวว่า ได้รายงานสรุปแผนงานและโครงการที่สำคัญของ กทท. ในการมุ่งสู่มาตรฐานท่าเรือชั้นนำระดับโลก พร้อมบูรณาการให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่เป็นเลิศ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ทั้ง 6 ด้าน ประกอบด้วย การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของท่าเรือ การพัฒนาธุรกิจและสินทรัพย์ การพัฒนาระบบบริหารจัดการทางการเงินให้มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน การพัฒนาสมรรถนะองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม การพัฒนาสมรรถนะองค์กรด้วยกระบวนงานทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาองค์กรอย่างมีส่วนร่วมเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน. – สำนักข่าวไทย