กรุงเทพฯ 22 ก.พ. – ธนาคารโลกชี้การเร่งใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ช่วยสร้างการลงทุน ประหยัดค่าใช้จ่าย และสร้างรายได้ให้ไทยได้มากถึง 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
รายงานการวิเคราะห์ภาคเอกชนของประเทศไทย (CPSD) โดยบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ และธนาคารโลก ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยต้องส่งเสริมรูปแบบการเติบโตที่ใช้นวัตกรรมใหม่ พร้อมทั้งแก้ไขข้อจำกัดด้านการลงทุนที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อสร้างงานที่ดีขึ้นและบรรลุเป้าหมายในการเป็นประเทศรายได้สูง
นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังเผยให้เห็นว่า การเร่งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้จะช่วยเพิ่มกระแสเงินทุนไหลเข้า ประเทศไทยประมาณ 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนใหม่ในเทคโนโลยีคมนาคมขนส่ง บิ๊กดาต้าและการวิเคราะห์ข้อมูล เทคโนโลยีด้านสุขภาพ สื่อดิจิทัล และด้านบันเทิง รวมทั้งการขยายตัวของภาคส่วนต่าง ๆ ในประเทศไทยที่มีศักยภาพอยู่แล้วเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น อีคอมเมิร์ซ เทคโนโลยี ด้านการเงิน (fintech)
นางเบอร์กิท ฮานสล์ ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างทักษะสำหรับอนาคตไปพร้อม ๆ กับลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ก่อให้เกิดตลาด ต้องเตรียมพร้อมให้คนรุ่นใหม่เป็นโปรแกรมเมอร์ นักพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล และผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เส้นทางการเติบโตที่ยืดหยุ่น ยั่งยืน และครอบคลุม
ข้อมูลจากรายงานพบว่า การนำระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้สามารถประหยัดต้นทุนและสร้างรายได้สำหรับภาคเอกชนสูงถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น อาหารและการเกษตร การก่อสร้าง และอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ ประเทศไทยอาจจะพิจารณาภาคส่วนต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น การทำเกษตรกรรมฟื้นฟู การแปรรูปขยะอินทรีย์เป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจหมุนเวียนที่สร้างผลลัพธ์สูง
เจน หยวน ซู ผู้จัดการ บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ ประจำประเทศไทยและเมียนมา กล่าวว่า เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์การเติบโตในระดับสูง ประเทศไทยยังต้องแก้ไขข้อจำกัดด้านการลงทุนและข้อจำกัดเฉพาะภาคส่วนซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคเอกชน การปฏิรูปที่สำคัญจะช่วยสร้างงานคุณภาพสูง เพิ่มการมีส่วนร่วมของแรงงานสตรี พัฒนาตลาดนวัตกรรม และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
รายงานยังเน้นย้ำว่าการเสริมสร้างความเข้มแข็งในการปฏิรูปโครงสร้างจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการ ดำเนินธุรกิจ รวมทั้งส่งเสริมการลงทุนในนวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีหมุนเวียน จากการวิเคราะห์และการปรึกษาหารือกันอย่างกว้างขวางพบว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งปฏิรูปหลายด้าน เช่น การส่งเสริมการแข่งขันในตลาด การขจัดข้อจำกัดในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การเปิดการเข้าถึงนวัตกรรมการเงิน และการขยายทักษะสำหรับอนาคต
สำหรับรายงานการวิเคราะห์ภาคเอกชนของประเทศไทย : พลิกฟื้นผลิตภาพด้วยเครื่องยนต์ใหม่ให้เศรษฐกิจเติบโตและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างธนาคารโลกและบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC) เพื่อประเมินความท้าทายและโอกาสการเติบโตของภาคเอกชนท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผลการศึกษาพบว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้จะช่วยให้เศรษฐกิขไทยกลับมาเติบโตตามที่คาดหวังไว้ได้ อย่างไรก็ดี ประเทศไทยเข้าถึงโอกาสการเติบโตเหล่านี้ได้ก็ต่อเมื่อมีการแก้ไขข้อจำกัดด้านการลงทุนที่สำคัญ เช่น การยกระดับการแข่งขันให้เป็นธรรม , ส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ,เพิ่มการเข้าถึงแรงงานที่มีทักษะสำหรับโลกอนาคต , ส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับการพัฒนานวัตกรรม ,แก้ไขข้อจำกัดเฉพาะทางที่สำคัญ เช่น ความซับซ้อนของกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และยกระดับการบังคับใช้กฎหมายด้านการแข่งขันทางการค้าเพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เท่าเทียม และผ่อนคลายระเบียบเรื่องการจ้างผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ .-สำนักข่าวไทย