นนทบุรี 8 ก.พ.-ปลัดพาณิชย์ย้ำกรณีกลุ่มผู้ประกอบการภาคขนส่งออกมาเคลื่อนไหว ที่อาจจะมีการปรับขึ้นราคาค่าขนส่ง หรือหยุดการขนส่ง ทำให้หลายคนกังวลว่าจะกระทบเป็นลูกโซ่ ต่อเนื่องไปถึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ทางกระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเชื่อน่าจะเจรจาจนได้ทางออกร่วมกัน โดยต้นทุนพลังงาน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของต้นทุนในการผลิตสินค้าทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลได้ตรึงดีเซลไว้ จึงไม่กระทบต้นทุนมากนักและไม่เป็นเหตุให้ปรับขึ้นราคาสินค้าได้
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังประชุมคณะทำงานกำกับติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าว่า กรณีกลุ่มผู้ประกอบการภาคขนส่ง ออกมาเคลื่อนไหวต้องการให้กระทรวงพลังงานลดดีเซลเหลือ 25 บาทต่อลิตร หากไม่ปรับลดจะเพิ่มค่าขนส่งขึ้นด้วยนั้น โดยเรื่องนี้ต้นทุนพลังงาน เป็นเพียงต้นทุนส่วนหนึ่งในการผลิตสินค้าไม่ใช่ทั้งหมด และจากการวิเคราะห์ของกรมการค้าภายใน ในส่วนของต้นทุนพลังงาน แต่ละสินค้าจะได้รับผลกระทบแตกต่างกันไป โดยต้นทุนพลังงานหลักๆ จะมีทั้งในส่วนของค่าไฟฟ้าและน้ำมัน ที่ส่วนใหญ่จะเป็นดีเซลในการขนส่ง ซึ่งกระทรวงพลังงานได้ดูแลราคาดีเซลอยู่ รวมทั้งต้นทุนวัตถุดิบ ที่ยังพอจัดการได้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ขอความร่วมมือให้ผู้ผลิตสินค้าเกือบทุกกลุ่ม ตรึงราคาออกไประยะหนึ่ง แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงไปหลังจากการเรียกร้อง อาจจะส่งผลกระทบบ้าง เช่น กรณีผู้ประกอบการ อาจจะระงับการขนส่งนั้น จะต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด แต่เชื่อว่ากระทรวงพลังงานน่าจะพูดคุยจนได้ข้อสรุปถึงแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน
นอกจากนี้ในด้านแก๊สหุงต้ม LPG ที่อาจจะการปรับราคาต่อถังขึ้นนั้น ได้มีวิเคราะห์แล้วจะกระทบกับอาหารจานเดียวน้อยมาก เพราะแก๊ส 1 ถัง สามารถปรุงอาหารได้เป็น 100 จาน ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยต่อจาน จึงไม่มีผลกระทบมากนัก จนเป็นเหตุให้ร้านอาหาร โดยเฉพาะอาหารจานเดียว ฉวยโอกาสนี้ปรับขึ้นราคาได้ ดังนั้น ยืนยันว่ากระทรวงพาณิชย์ได้เข้าไปดูตั้งแต่ต้นทาง เช่น กรณีปศุสัตว์ ได้ดูแลไปถึงอาหารสัตว์ รวมทั้งได้ออกมาตรการเพื่อช่วยลดภาระให้กับผู้บริโภค ในส่วนของกรมการค้าภายใน ก็เตรียมดำเนินโครงการโมบายพาณิชย์..ลดราคา ต่อไปอีก โดยเฉพาะในเขต กทม. เพื่อให้เข้าถึงพี่น้องประชาชนมีทั้งเนื้อหมู เนื้อไก่ น้ำมันพืช ราคาถูกกว่าท้องตลาด
ทั้งนี้ จากการประชุมคณะทำงานกำกับติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าแก้ไขปัญหา และดำเนินคดีกับผู้ฝ่าฝืน และกระทำความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือวอร์รูม ได้รับรายงานสถานการณ์ราคาสินค้าแบบเรียลไทม์ ในภาพรวมราคาสินค้าส่วนใหญ่ทรงตัวเมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะเนื้อหมู ปรับลดลงชัดเจน ราคาหมูเนื้อแดง เฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่กิโลกรัมละ 175 บาท และในห้างต่างๆ เหลือเพียงกิโลกรัมละ 164-170 บาท จากสัปดาห์ที่แล้วเฉลี่ยถึงกิโลกรัมละ 187 บาท เพราะผู้บริโภคเปลี่ยนไปบริโภคเนื้อไก่แทน ขณะที่เนื้อไก่ ยังอยู่ในการกำกับดูแล ราคาน่องติดสะโพก มาห้างเฉลี่ยกิโลกรัมละ 65 บาท ส่วนในตลาดเฉลี่ยกิโลกรัมละ 70-75 บาท
ส่วนราคาผักแตกต่างกันไปแต่ละจังหวัด เนื่องจากแหล่งเพาะปลูกเฉพาะพื้นที่ ทำให้บางพื้นที่ต้องมีต้นทุนขนส่ง แต่คาดว่าจะไม่ปรับสูงขึ้นไปกว่านี้แล้ว เช่นเดียวกับราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวด เริ่มเห็นมีการปรับลดลงเล็กน้อย ในห้างค้าปลีก เหลือขวดละ 61-62 บาท ร้านสะดวกซื้อ ขวดละ 64-65 บาท โดยราคาน่าจะทรงตัวไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ จากสตอกเก่า ก่อนจะทยอยปรับลดลง เพราะผลปาล์มเริ่มออกสู่ตลาด จะมีการเก็บเกี่ยวมากขึ้นในเดือนมีนาคม ทำให้ราคาน้ำมันปาล์มน่าจะลดลงชัดเจนในเดือนมีนาคมนี้ รวมไปถึงสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ราคายังทรงตัว โดยภาคใต้จะสูงกว่าภาคอื่นเล็กน้อยจากการขนส่งที่ไกลกว่า
นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์มีชุดสายตรวจเฉพาะกิจในส่วนกลาง และมีทีมพาณิชย์จังหวัดออกตรวจสอบทั่วประเทศ เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า และกำกับดูแลให้ปิดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคตัดสินใจก่อนซื้อ ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบห้องเย็นสินค้าปศุสัตว์ ตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ หรือ กกร. ที่ให้ห้องเย็นรายใหญ่ ที่มีสตอกเกิน 5,000 กิโลกรัม ให้แจ้งปริมาณ และราคาจำหน่ายทุกสัปดาห์นั้น กระทรวงพาณิชย์ ได้ตรวจสอบห้องเย็นทั้งหมด ไม่เฉพาะรายใหญ่เท่านั้นตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น จำนวนทั้งหมด 616 ราย พบปริมาณเนื้อหมูในสตอก รวมกันกว่า 19 ล้าน 5 แสนกิโลกรัม ซึ่งพบผู้กระทำความผิดรวม 12 ราย ใน 6 จังหวัด ในความผิด 2 ลักษณะคือ ไม่แจ้งปริมาณสตอกตามประกาศที่กำหนด และพบห้องเย็นที่ไม่ได้จดทะเบียนประกอบกิจการกับกรมการค้าภายใน ตาม พรบ.คลังสินค้า ไซโล และห้องเย็น ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินคดีส่งฟ้อง 9 ราย ส่วนอีก 3 ราย คดีสิ้นสุด ศาลสั่งปรับและจำคุกตามโทษสูงสุดแล้ว โดย 1 รายมีโทษไม่แจ้งสตอก ได้รับโทษปรับสูงสุดเป็นเงิน 10,000 บาท อีก 2 ราย มีโทษปรับสูงสุด แต่ได้ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือปรับรายละ 5,000 บาท โดย 1 ราย มีโทษปรับรายวันเพิ่มด้วย นับแต่วันกระทำความผิด วันละ 500 บาท จำนวน 13 วัน และรายนี้มีโทษจำคุกแต่รอลงอาญา 1 ปี ส่วนอีก 1 รายสุดท้าย เพิ่มโทษรายวัน อีกวันละ 500 บาท 10 วันเช่นเดียวกัน.-สำนักข่าวไทย