กรุงเทพฯ 6 ส.ค. – ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี ประเมินยอดขายรถยนต์ในประเทศอยู่ที่ 7.35 แสนคันในปี 2564 ลดลง 7.1% จากปีก่อน เหตุการระบาดของโรคโควิด-19 และกำลังซื้อที่เปราะบาง ลุ้นปี 65 ยอดขายจะทยอยกลับมาสู่ระดับปกติที่ 8.6 แสนคัน หลังประชากรได้รับวัคซีนทั่วถึง
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินปี 2564 ยอดขายรถยนต์ในประเทศจะอยู่ที่ 7.35 แสนคัน หรือ หดตัว 7.1% จากปีก่อน สาเหตุจาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยยอดขายลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาส 3 เป็นผลมาจากมาตรการล็อกดาวน์ และกำลังซื้อในประเทศที่เปราะบาง ก่อนที่ในไตรมาสที่ 4 ยอดขายจะเริ่มทยอยฟื้น โดยได้รับอานิสงส์จากการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมกว่า 70% ของประชากรรวมในประเทศตามแผนของภาครัฐ ผนวกกับได้แรงพยุงจากการส่งออกที่ฟื้นตัว และรายได้เกษตรกรที่ดีขึ้นจากราคาและผลผลิตที่ดีขึ้น
แม้ว่าครึ่งแรกของปี 2564 จะสามารถทำยอดขายได้ 373,191 คัน หรือ ขยายตัว 13.6% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 แต่เป็นการเพิ่มขึ้นที่มาจากฐานที่ต่ำในปี 2563 ที่หดตัว 37.3% ซึ่งเป็นผลมาจากกำลังซื้อที่หายไปจากการล็อกดาวน์ติดต่อกัน 3 เดือน จากโควิด-19 ระลอกแรก
ปี 2564 รถยนต์นั่งส่วนบุคคลจะได้รับผลกระทบหนักกว่ารถยนต์เชิงพาณิชย์ คาดหดตัว 11.1% ขณะที่รถยนต์เชิงพาณิชย์จะหดตัว 4.1% เนื่องจากการแพร่ระบาดจะบั่นทอนกำลังซื้อและความเชื่อมั่นให้ลดลง โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยว หากการแพร่ระบาดบรรเทาลงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 นี้ พื้นที่เศรษฐกิจที่พึ่งพิงภาคธุรกิจการส่งออกและภาคเกษตรคาดว่าจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้เร็วกว่า ซึ่งต้องการรถยนต์เชิงพาณิชย์มากกว่าทำให้ยอดขายจะกลับมาฟื้นได้ก่อนรถยนต์นั่งส่วนบุคคล
ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ทั้งความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน, หนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงกว่า 93% ต่อจีดีพี และปัญหาชิปขาดแคลน ส่งผลต่อการผลิตรถยนต์ ซึ่งคาดกว่าจะเริ่มผ่อนคลายลงในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2565 ตามอัตราการฉีดวัคซีนทั่วโลกที่ครอบคลุมประชากรมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตชิปทั่วโลกกลับมาผลิตได้ปกติอีกครั้ง ประกอบกับความต้องการชิปสำหรับอุปกรณ์การทำงานที่บ้าน (Work from home) ทั้งคอมพิวเตอร์ ระบบคลาวด์ลดลง ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์มีชิปสำหรับผลิตรถยนต์ได้เพียงพอ
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกขั้นพื้นฐานที่เป็นแรงส่งให้ยอดขายรถยนต์กลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงปลายปี อาทิ การส่งออกฟื้นตัว, รายได้เกษตรกรที่ดีขึ้น, การทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขายจากดีลเลอร์, ดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ, อายุรถยนต์เฉลี่ยบนท้องถนนที่มากขึ้น เป็นต้น ดังนั้น ภาคเอกชนกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนจึงต้องร่วมมือกันควบคุมการแพร่ระบาดด้วยการทำ Bubble and Seal อย่างเป็นระบบ เพื่อรักษาซัพพลายเชนการผลิตไม่ให้หยุดชะงัก ซึ่งหากสามารถจัดการได้ ผนวกกับปัจจัยบวกพื้นฐานของกำลังซื้อรถยนต์ในประเทศ คาดว่ามีโอกาสที่ยอดขายรถยนต์จะสามารถกลับเข้าสู่ระดับปกติ 8.6 แสนคันได้ในปี 2565 . – สำนักข่าวไทย