กรุงเทพฯ 1 ก.พ. – ภาคเอกชนไทยชี้ รัฐประหารเมียนมา ประชาชนตระหนกแห่ตุนสินค้าอุปโภคบริโภคคาดสั่งนำเข้าจากไทยเพิ่ม หวั่นทหารควบคุมการค้าแก้กฎระเบียบจนกลายเป็นอุปสรรคได้
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในเมียนมาว่า ในส่วนของหอการค้าไทยมองว่าเป็นปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ และเร็วไปที่จะให้ความเห็นว่าการรัฐประหารจะมีผลอย่างไรบ้างต่อการค้าการลงทุนของไทยกับเมียนมาซึ่งต้องรอประเมินสถานการณ์ก่อน และหวังว่าผู้ที่เกี่ยวข้องจะไม่กระทำการใด ๆที่กระทบต่อการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19 ซึ่งทุกประเทศต่างให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาปากท้องหรือเศรษฐกิจของประเทศ เพราะหากไม่คำนึงถึงจุดนี้ก็ยิ่งจะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์เศรษฐกิจให้แย่ลงกว่าเดิม
นายอนุรัตน์ อินทร ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า หลังจากมีการรัฐประหารในประเทศเมียนมา จากการประเมินเบื้องต้นคาดว่าจะทำให้การนำเข้าสินค้าจากไทยมากขึ้นกว่าปกติเพราะประชาชนอาจจะตื่นตะหนกกักตุนสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งส่วนใหญ่ก็นำเข้าจากประเทศไทย โดยด่านพรมแดนของจ.เชียงรายมีทั้งหมด 6 ด่าน สร้างรายได้รวมประมาณ 5 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นการนำเข้าส่งออกสินค้าระหว่างไทยกับเมียนมาและไทยกับลาวอย่างไรก็ตามก็จะติดตามสถานการณ์ภายในของเมียนมาอย่างใกล้ชิดต่อไป แต่จากการประเมินเบื้องต้นไม่น่าจะมีผลต่อการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศ เพราะจะเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 มากขึ้นไปอีก
นายประเสริฐ จึงกิจรุ่งโรจน์ ประธานหอการค้าจะงหวัดตากกล่าวว่า หลังจากเกิดการรัฐประหารในเมียนมาในช่วงเช้าของวันนี้(1 ก.พ.) เกิดความสับสนเล็กน้อยเนื่องจากทางฝั่งของเมียนมาได้ปิดประตูด่านพรมแดนนาน 3-4 ชม. ทำให้เกิดความแออัดของการขนส่งสินค้าหน้าด่าน แต่หลังจากนั้นก็เปิดด่านตามปกติในเวลาประมาณ 10.00 น. ซึ่งถือเป็นการบริหารจัดการของทางฝั่งนั้น ที่อาจรอคำสั่งหรือความชัดเจนในทางปฏิบัติและจากการประเมินสถานการณ์ในขณะนี้มองว่าทางเมียนมาน่าจะสั่งนำเข้าสินค้าจากไทยมากขึ้นรองรับกับความต้องการของประชาชนชาวเมียนมาเอง ที่อาจมีการกักตุนสินค้าเนื่องจากวิตกในสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งทางทหารที่ทำการรัฐประหารก็น่าจะคำนึงปากท้องของประชาชนเป็นหลัก ดังนั้นการรัฐประหารครั้งนี้จึงไม่มีการปิดด่านขนส่งสินค้า เพราะการเปิดด่านเป็นประโยชน์ของเมียนมาเอง และขณะนี้เป็นช่วงที่ไทยอนุญาตให้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเมียนมาได้ในช่วงเดือนก.พ.-ส.ค.เท่านั้น หากปิดด่านพรมแดนไปก็จะทำให้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกรตกค้าง ไม่มีตลาดรองรับส่งผลเสียต่อเกษตรกรชาวเมียนมาเอง
ทั้งนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือทางทหารจะเข้ามาควบคุมการค้าขายด้วยการแก้ไขกฎระเบียบในการนำเข้าส่งออกระหว่างไทยและเมียนมาใหม่ ซึ่งห่วงว่าจะเป็นปัญหาและอุปสรรคระหว่างกัน ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ด่านพรมแดนของตากสร้างรายได้ประมาณละ 80,000 ล้านบาท โดยมีด่านที่สร้างรายได้สำคัญคือจุดผ่านแดนสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย