กรุงเทพฯ 29 ต.ค. – โควิด-19 ดันยอดขายอาหารทะเลแปรรูป ทั้งปลาทูน่ากระป๋อง อาหารพร้อมรับประทาน รวมถึงซอสและเครื่องปรุงรสต่าง ๆ ขยายตัวในระดับสูง
นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยสำนักข่าวไทยว่า โควิด-19 ที่ระบาดหนักในต่างประเทศขณะนี้ ทำให้ไทยได้รับอานิสงส์ส่งออกอาหารหลายรายการ โดยปลาทูน่าบรรจุกระป๋อง อาหารพร้อมรับประทาน (RTE) ซอสและเครื่องปรุงรส ขยายตัวเพิ่มขึ้น 13.2% 6.7% และ 12.4% ตามลำดับ สอดรับกับการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคในช่วงโควิด-19
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารส่งออกไทยในช่วง 9 เดือนแรกปี 2563 หดตัว 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา มูลค่ารวม 753,000 ล้านบาท โดยมี 2 ปัจจัยที่เป็นต้นเหตุ คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศคู่ค้าสำคัญหดตัว โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และจัดเลี้ยง หรือ HORECA ที่เป็นช่องทางการจำหน่ายสำคัญ เช่น กุ้งขาว ยอดขายยังคงตกลง แม้ยอดซื้อกลับไปปรุงอาหารเองที่บ้านจะเพิ่มขึ้นก็ตาม อีกปัจจัยสำคัญ คือ โรงงานแปรรูปประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบในหลายอุตสาหกรรมจากภัยแล้งในช่วงปีการผลิตก่อนหน้า ทั้งน้ำตาล และสับปะรด เป็นต้น ทำให้สินค้าส่งออกหลักทั้ง 2 รายการมีมูลค่าลดลงอย่างเห็นได้ชัด
อาเซียนเป็นตลาดส่งออกอาหารอันดับ 1 ของไทย สัดส่วนส่งออกมากถึง 24.5% รองลงมา ได้แก่ จีน 18.9% ญี่ปุ่น 12.2% สหรัฐฯ 12.0% สหภาพยุโรป 7.8% แอฟริกา 5.9% โอเชียเนีย 3.4% และตะวันออกกลาง 3.3% ตามลำดับ โดยจีน สหรัฐ โอเชียเนีย และตะวันออกกลาง เป็น 4 ประเทศคู่ค้าหลักที่ไทยส่งออกอาหารเพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดหลักอื่นหดตัว ตลาดส่งออกที่ขยายตัวโดดเด่น คือ จีน เติบโตสูงถึง 20.3% โดยมีสินค้าส่งออกหลักที่ขยายตัวสูง เช่น ผลไม้สด มะพร้าว (กะทิ) และไก่แช่แข็ง ส่วนตลาดสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 11.4% มีสินค้าส่งออกสำคัญขยายตัวเพิ่มขึ้น เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง และอาหารพร้อมรับประทาน เป็นต้น
ส่วนแนวโน้มการส่งออกสินค้าอาหารไทยไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ลุ้นส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมีมูลค่า 272,000 ล้านบาท โตไม่ต่ำกว่า 10% และภาพรวมปี 2563 คาดว่าการส่งออกจะมีมูลค่า 1,025,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ได้แก่ ความต้องการอาหารมีแนวโน้มฟื้นตัวหลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยกลับมาดำเนินงานมากขึ้น ช่องทางค้าปลีกและช่องทางออนไลน์ขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะตลาดหลักในสหรัฐและสหภาพยุโรป จะช่วยชดเชยการลดลงของการจำหน่ายในช่องทาง HORECA ได้ระดับหนึ่ง แรงกดดันจากภาวะขาดแคลนวัตถุดิบมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากภัยแล้งเริ่มคลี่คลายจากปริมาณฝนที่ตกเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และสุดท้าย คือ ราคาสินค้าเกษตรอาหารโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากปรากฏการณ์ลานีญา ทำให้เกิดความแห้งแล้งในทวีปอเมริกาที่เป็นแหล่งผลิตพืชผลการเกษตรที่สำคัญของโลก อาทิ ถั่วเหลือง ข้าวโพด อ้อย และธัญพืชต่าง ๆ โดยเดือนกันยายนที่ผ่านมา ราคาอาหารโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.0% เป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ซึ่งภาวการณ์ดังกล่าวจะส่งผลดีทำให้ไทยมีรายได้จากการส่งออกเพิ่มสูงขึ้น
ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 และเศรษฐกิจคู่ค้าชะลอตัว ส่งผลให้รูปแบบสินค้าอาหารมีแนวโน้มปรับเปลี่ยนไปตามช่องทางจำหน่าย โดยเฉพาะช่องทางค้าปลีกและ Take-Away ที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ท่ามกลางธุรกิจ HORECA ที่ยังอยู่ในสถานการณ์ที่อ่อนแอจากพฤติกรรม Social distancing ทำให้ผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่การซื้อแบบออนไลน์มากขึ้น โดยเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมาสัดส่วนจำหน่ายอาหารในช่องทางค้าปลีกและออนไลน์ของสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 57% จาก 50% ในช่วงที่ผ่านมา และพฤติกรรมดังกล่าวอาจเป็นรูปแบบการซื้อถาวรสำหรับการบริโภคอาหารที่บ้านในอนาคต ในไทยพฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปในทิศทางที่ไม่ต่างกันมากนัก คนไทยนิยมสั่งซื้ออาหารไปรับประทานหรือปรุงเองที่บ้านมากขึ้น.-สำนักข่าวไทย