กรุงเทพฯ 19 ต.ค. – โควิด-19 ทำไทยใช้เหล็ก 8 เดือน ลดลง 14% คาดปี 64 เพิ่ม 4-5% ดันยอดใช้เหล็กเพิ่มเป็นปีละ 17.5 ล้านตัน หวังนโยบายสนับสนุนการใช้สินค้าไทย หรือ Made in Thailand จะเป็นปัจจัยสำคัญช่วยเร่งการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศเร็วขึ้น
นายนาวา จันทสุรคน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ในช่วง 8 เดือนแรกปี 2563 มีการใช้เหล็กในประเทศไทยรวม 11 ล้านตัน ลดลง 14% จากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าช่วงที่เหลือปีนี้ความต้องการใช้จะเพิ่มขึ้น คาดว่าตลอดปีนี้จะมีความต้องการใช้เหล็กในไทยรวม 16.7 ล้านตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาคิดเป็น 10% โดยผลิตภัณฑ์เหล็กทรงแบนลดลง 11% และผลิตภัณฑ์เหล็กทรงยาวลดลง 9% อย่างไรก็ตาม คาดว่าความต้องการใช้เหล็กปี 2564 จะเพิ่มขึ้น 4-5% ยอดใช้เหล็กเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 17.5 ล้านตัน ซึ่งนโยบายสนับสนุนการใช้สินค้าภายในประเทศไทย หรือ Made in Thailand จะเป็นปัจจัยสำคัญช่วยเร่งการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น
นายนาวา กล่าวว่า อุตสาหกรรมเหล็กเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของระบบอุตสาหกรรม เพราะเหล็กเป็นวัตถุดิบที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากมาย ได้แก่ รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล เฟอร์นิเจอร์ ก่อสร้าง ฯลฯ ปี 2562 ทั่วโลกมีความต้องการใช้เหล็กสูงถึง 1,767 ล้านตัน แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและสังคมโลกอย่างรุนแรง ทำให้ความต้องการใช้เหล็กรวมของโลกปี 2563 ถดถอยลง โดยคาดว่าจะเหลือ 1,725.1 ล้านตัน ลดลง 2.4% จากปี 2562 หากจำแนกผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยเปรียบเทียบปริมาณความต้องการใช้เหล็กปี 2563 กับปี 2562 เป็นรายประเทศ พบว่าเกือบทุกประเทศมีปริมาณความต้องการใช้เหล็กถดถอยลง ได้แก่ อิตาลี -22% อินเดีย -20% ญี่ปุ่น -19% สหรัฐอเมริกา -16% เกาหลีใต้ -8% ยกเว้นประเทศจีน ซึ่งมีปริมาณความต้องการใช้เหล็กปี 2563 มากกว่าปี 2562 +8% โดยความต้องการใช้เหล็กรวมของโลกหากไม่รวมประเทศจีนจะถดถอย -13%
ส.อ.ท.ผลักดันนโยบาย “Made in Thailand” และรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทย โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2563 ได้มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการคลัง เรื่อง “กำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่ภาครัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุนโดยกำหนดให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่ผลิตในประเทศไม่น้อยกว่า 60% ของพัสดุที่จะใช้ตามบัญชีรายชื่อที่ขึ้นไว้กับ ส.อ.ท.สำหรับงานก่อสร้างได้กำหนดให้ใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศก่อนโดยต้องไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าหรือปริมาณเหล็กที่ใช้ในงานก่อสร้างทั้งหมดในครั้งนั้น และหากในกรณีที่พบว่าผู้เสนอราคาต่ำสุดเป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ขณะที่ผู้เสนอราคาที่เป็นบุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยเสนอราคาสูงกว่ารายของต่างชาติไม่เกิน 3% ให้พิจารณาเลือกการจัดซื้อจัดจ้างกับผู้ประกอบการของไทย
ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าการผลักดันนโยบาย Made in Thailand อย่างจริงจัง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจฐานชุมชน (Local Economy) ของรัฐบาล จะช่วยให้อุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศฟื้นตัวและสามารถใช้กำลังการผลิตที่มีอยู่ได้มากขึ้น จากปัจจุบันที่ใช้กำลังการผลิตเพียง 30% เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับการใช้กำลังการผลิตเหล็กเฉลี่ยของโลกปี 2562 ที่ 78% นอกจากนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ส.อ.ท. ขอให้ภาครัฐพิจารณาให้โครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) ต่าง ๆ ส่งเสริมการใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศไทยด้วยเช่นกัน เพื่อก่อให้เกิดการจ้างงานและการหมุนเวียนเศรษฐกิจภายในประเทศ.-สำนักข่าวไทย