กรุงเทพฯ 2 ต.ค. – บลจ.วี แนะกระจายการลงทุนในตราสารหนี้และทองคำ ในภาวะดอกเบี้ยต่ำจนถึงปี 2565
นายอิศรา พุฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วี จำกัด (บลจ.วี) เปิดเผยว่า หลังจากราคาทองคำขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 2,070 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในวันที่ 6 สิงหาคม 2563 ได้เพียง 3 วัน ราคาทองมีการปรับตัวลงจากข่าวการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของรัสเซีย และค่าเงินดอลลาร์ที่เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้เกิดการปรับฐานของราคาทองคำ โดยปัจจุบันราคาทองคำอยู่ที่ระดับ 1,862 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (ณ วันที่ 28 ก.ย. 63)
อย่างไรก็ตาม บลจ.วี ประเมินว่าจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) กำหนดเป้าหมายที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยสูงขึ้นถึง 2% และยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับใกล้เคียงร้อยละ 0.00 และมีแนวโน้มที่จะไม่มีการปรับเพิ่มจนถึงปี 2565 ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ จากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลดีต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งราคาทองคำและเงิน
ขณะเดียวกันต้นทุนการทำเหมืองส่วนใหญ่เป็นต้นทุนการขุดเป็นแบบคงที่ (fixed cost) ดังนั้น เวลาที่ราคาทองคำแท่งหรือเงินแท่งปรับเพิ่มขึ้น ส่วนต่างที่เกิดขึ้น คือ กำไรที่หุ้นเหมืองได้รับ และเมื่อพิจารณา Gold and Silver Ratio ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง ซึ่งอยู่ที่ 66:1 (เงิน 66 ออนซ์สามารถซื้อทองได้ 1 ออนซ์) แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 82 ทำให้ราคาโลหะเงินยังต่ำกว่าเมื่อเทียบกับราคาทองคำ ประกอบกับในระยะถัดไป คาดว่าเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจะมีความต้องการใช้โลหะเงินเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการแพทย์และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่กำลังเติบโต
ดังนั้น เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุนสำหรับการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ บลจ.วี จึงขอแนะนำกองทุนเปิดวี มันนี่ มาร์เก็ต เพื่อการเลี้ยงชีพ (WE-MONYRMF) เน้นลงทุนตราสารหนี้คุณภาพที่ให้ผลตอบแทนดีมีสภาพคล่องสูง และกองทุนเปิด วี โกลด์ แอนด์ ซิลเวอร์ อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ (WE-GOLDRMF) เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับการสร้างผลตอบแทนและกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน เพื่อรับมือกับความผันผวนระยะยาว พร้อมทั้งสิทธิประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 1 – 14 ตุลาคม 2563 .-สำนักข่าวไทย