กรุงเทพ ฯ 9 ก.ย. – ธปท. เผยช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 แล้ว 12.5 ล้านบัญชี วงเงินรวม 7.2 ล้านล้านบาท แนะเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้รายย่อยด้วยวิธีการรวมหนี้
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 1 ธปท. เปิดเผยถึงความคืบหน้าของมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและลูกหนี้ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 ว่า จากข้อมูลล่าสุด ณ 31 กรกฎาคม 2563 มีลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินทั้งสิ้น 7.2 ล้านล้านบาท คิดเป็น 12.5 ล้านบัญชี โดยเป็นยอดหนี้ธนาคารพาณิชย์ และ สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ ( นอนแบงก์) 4.3 ล้านล้านบาท คิดเป็น 6.1 ล้านบัญชี เป็นความช่วยเหลือทางการเงินแก่ลูกหนี้ธุรกิจ 2.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 400,000 บัญชี และสินเชื่อรายย่อย 1.7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 5.7 ล้านบัญชี ส่วนความช่วยเหลือผ่านทางธนาคารเฉพาะกิจ มียอดหนี้ 2.9 ล้านล้านบาท คิดเป็น6.4 ล้านบัญชี ครอบคลุมทั้งการเลื่อนพักชำระหนี้ การลดภาระผ่อนชำระต่อเดือนด้วยการขยายระยะเวลาชำระหนี้ตามสัญญา การลดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ด้วยการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ตามสัญญาใหม่
ธปท. ได้ขอให้สถาบันการเงิน ประเมินสถานการณ์ของลูกหนี้รายย่อยและลูกหนี้ธุรกิจที่ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินในรูปแบบต่าง ๆ คาดว่า จะมีลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือในสัดส่วนสูงที่ไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือต่อไปเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่ได้รับความช่วยเหลือ โดยลูกหนี้ในส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ หรือผ่อนปรนการชำระหนี้ต่อไปหลังจากมาตรการช่วยเหลือที่เคยได้รับสิ้นสุดลง เพื่อรอให้สถานการณ์โควิด 19 คลี่คลายลง และเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น
ในระยะต่อไป ธปท. ยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลและแก้ไขปัญหาของลูกหนี้ตามความสามารถของแต่ละราย โดย ธปท. มีโครงการร่วมกับสมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ และสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ ในชื่อ “โครงการ DR BIZ การเงินร่วมใจ ธุรกิจไทยมั่นคง” (โครงการดีอาร์บิส) เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ธุรกิจที่มีเจ้าหนี้สถาบันการเงินหลายรายให้มีกลไกจัดการหนี้กับสถาบันการเงินทุกแห่งได้อย่างเบ็ดเสร็จ นอกจากนี้ สำหรับลูกหนี้รายย่อย ธปท. ร่วมกับสถาบันการเงินเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้รายย่อยด้วยวิธีการรวมหนี้ (debt consolidation) โดยนำสินเชื่อรายย่อยประเภทอื่นที่อยู่ภายใต้ผู้ให้บริการทางการเงินเดียวกันมาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ด้วยวิธีการรวมหนี้กับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเพื่อใช้ประโยชน์จากหลักประกัน เพื่อให้ลูกหนี้สามารถผ่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยต่อไปได้ตามความสามารถของแต่ละราย.-สำนักข่าวไทย