กรุงเทพฯ 6 ส.ค. – บีโอไอเผยยอดยื่นโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนช่วง 6 เดือนแรกปี 63 ลดลงร้อยละ 17 มูลค่าเงินลงทุนกว่า 1.58 แสนล้านบาท อุตสาหกรรมการแพทย์มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมเพิ่มขึ้นร้อยละ 174 ญี่ปุ่นครองแชมป์การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนของปี 2563 (ม.ค.-มิ.ย.) มีนักลงทุนยื่นโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 754 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 703 โครงการ ขณะที่มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 158,890 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17 ซึ่งมีมูลค่ารวม 190,330 ล้านบาท เนื่องจากโควิด-19 และช่วงเดียวกันของปี 2562 มีโครงการขนาดใหญ่ด้านพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลยื่นขอรับการส่งเสริม แต่มีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรกของปีนี้
ทั้งนี้ จากสถิติภาวะการส่งเสริมการลงทุนช่วง 6 เดือนของปีนี้ เป็นที่น่าสนใจว่ามีนักลงทุนรายใหม่ ให้ความสนใจขอรับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ไม่ปกติ โดยพบว่าเป็นการยื่นขอรับการส่งเสริมในโครงการใหม่ถึง 366 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 49 ของจำนวนคำขอรับการส่งเสริมทั้งหมด มีเงินลงทุนรวม 42,520 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 27 ของเงินลงทุนทั้งหมด นอกจากนี้ คำขอรับการส่งเสริมในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ เป็นการลงทุนในพื้นที่อีอีซี 225 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 85,480 ล้านบาท
สำหรับยอดการยื่นโครงการขอรับการส่งเสริมส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 371 โครงการ มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 83,140 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 52 ของมูลค่าคำขอรับการส่งเสริมทั้งหมด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการแพทย์ ที่มีการยื่นขอรับการส่งเสริมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีการยื่นขอรับการส่งเสริมรวม 52 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 174 มูลค่าเงินลงทุนรวม 13,070 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 123 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
“ยอดคำขอรับการส่งเสริมในอุตสาหกรรมการแพทย์เพิ่มขึ้นเป็นผลจากมาตรการเร่งรัดการลงทุนในอุตสาหกรรมการแพทย์ที่บอร์ดบีโอไอเห็นชอบเมื่อเดือนเมษายน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนอย่างรวดเร็ว รองรับความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่เพิ่มสูงขึ้นภายใต้สถานการณ์การระบาดของ โควิด-19” นางสาวดวงใจ กล่าว
สำหรับยอดยื่นโครงการขอรับการส่งเสริมในช่วง 6 เดือนของปี 2563 จำแนกตามอุตสาหกรรมเป้าหมาย อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 28,250 ล้านบาท ตามด้วยอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 15,300 ล้านบาท อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 13,510 ล้านบาท อุตสาหกรรมการแพทย์ 13,070 ล้านบาท และอุตสาหกรรมปิโตรและเคมีภัณฑ์ 4,380 ล้านบาท
ด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วง 6 เดือน มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริม จำนวน 459 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 75,902 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 34 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยประเทศญี่ปุ่นมีจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุนที่ยื่นขอรับการส่งเสริมมากที่สุด 99 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 22,636 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 30 ของมูลค่าเงินลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด ตามด้วยจีน 95 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 17,461 ล้านบาท และสิงคโปร์ 55 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 10,624 ล้านบาท.-สำนักข่าวไทย