“เกียรตินาคินภัทร” มองโควิดยืดเยื้อ ห่วงหนี้สาธารณะพุ่ง

กรุงเทพฯ 30 ก.ค. – “เกียรตินาคินภัทร” มองโควิดยืดเยื้อ ห่วงหนี้สาธารณะปีหน้าพุ่งแตะ 60 % ต่อจีดีพี จับตาความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน


นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด – 19 ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะงักงัน และยังไม่รู้ว่าปัญหานี้จะจบเมื่อไร เนื่องจากอัตราการติดเชื้อในโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อใหม่กว่า 17 ล้านคน เพิ่มขึ้นวันละกว่า 200,000 คน สำหรับประเทศไทยไม่มีผู้ติดเชื้อในประเทศต่อเนื่องกว่า 60 วัน แล้ว ขณะที่วัคซีนมาได้เร็วที่สุดในต้นปีหรือกลางปีหน้า ส่งผลให้อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ คาดจีดีพีปีนี้ติดลบ เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพารายได้การท่องเที่ยวค่อนข้างมาก ถึง 12 % ของจีดีพี ซึ่งปัจจุบันการท่องเที่ยวติดลบมากกว่า 65 % นักท่องเที่ยวและการใช้จ่ายนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไป โดยคาดว่าจะสามารถกลับมาได้ในช่วงปลายปี

ขณะเดียวกันคาดว่าจะมีคนตกงานมากกว่า 5 ล้านคน และมีลูกหนี้ 1 ใน 3 ของหนี้ในระบบที่ได้รับมาตรการช่วยเหลือจากสถาบันการเงิน คิดเป็น 12.8 ล้านบัญชี ยอดภาระหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือ 6.88 ล้านล้านบาท


ทั้งนี้ IMF ประมาณการไว้ว่าทั้งโลกมีการอัดฉีดด้านการคลังเพื่อรับมือกับวิกฤติรอบนี้ไปแล้วกว่า 11 ล้านล้านดอลลาร์ หรือกว่า 6% ของ GDP ทั้งโลก และระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ในปีนี้ของทั้งโลกอาจจะขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์และสูงกว่าระดับหนี้หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งระดับหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นจะกลายเป็น ความท้าทายที่สำคัญสำหรับหลายๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยระดับหนี้สาธารณะเมื่อปลายปี 2562 ไทยมีระดับหนี้สาธารณะรวมอยู่ที่ 6.9 ล้านล้านบาท หรือ 41.9% ของ GDP ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ขณะที่ตัวเลขล่าสุด ณ สิ้นเดือน พ.ค. ระดับหนี้สาธารณะขึ้นไปอยู่ที่ 7.3 ล้านล้านบาท หรือ ประมาณ 44.1% ของ GDP และคาดว่าหนี้สาธารณะจะขึ้นไปเกือบ 60% ในปีหน้า

สำหรับสิ่งที่ต้องระวังในครึ่งปีหลัง 2563 นอกจากจะต้องติดตามสถานการณ์โควิด -19 แล้ว ยังคงต้องติดตามความสัมพันธ์ของสหรัฐฯและจีน ที่มีแนวโน้มจะเกิดสงครามเย็นอีกรอบ โดยอาจจะไม่ได้ใช้การค้าระหว่างประเทศเพียงอย่างเดียว แต่จะเปลี่ยนรูปแบบเป็นเรื่องการการแบนเทคโนโลยี แบนบริษัทข้ามชาติของจีนในสหรัฐฯ และการปิดสถานกงสุลจีนในสหรัฐ และยังต้องติดตามผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า นายโจ ไบเดน ว่าที่ตัวแทนพรรคเดโมแครต จะได้คะแนนเสียงมากกว่านายทรัมป์ หลังผลงานที่ผ่านมาของทรัมป์ในการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่ปลอดภัย และการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางสีผิว ขณะที่นายโจ ไบเดนชูนโยบายเปิดเสรีทางการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง CPTTP ที่อาจจะทำให้หลายบริษัทในไทยย้ายฐานการลงทุนออกจากไทยไปเลยก็ได้ . – สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ใบประกอบวิชาชีพครู

เตือนคุณครูเปิดเทอมนี้ ต้องมี “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู”

เตือนคุณครูเปิดเทอมนี้ ต้องมี “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู” แนะรีบต่ออายุใบอนุญาต หลังคุรุสภาออกมาตรการ 5 ต. คุมเข้มทุกโรงเรียนทั่วไทย

เริ่ม 1 พ.ค.นี้ นักท่องเที่ยวเข้าไทย ต้องลงทะเบียนบัตร ตม.6 แบบดิจิทัล

เริ่ม 1 พ.ค.นี้ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้าไทย ต้องลงทะเบียนบัตร ตม.6 แบบดิจิทัล หรือ TDAC ล่วงหน้า อย่างน้อย 3 วันก่อนเดินทาง ตามกฎใหม่ ตม.

พีชเรียกอาต่าย

ผบ.ตร.ไม่ปลื้ม “พีช” โอ้อวดเรียก “อาต่าย” ลั่นไม่ใช่ญาติ

ผบ.ตร.ไม่ปลื้ม “พีช” คู่กรณีรถกระบะ โอ้อวดเรียก “อาต่าย” รู้จักคนในรัฐบาล หวังผลคดี ลั่นไม่ใช่ญาติ สอนลูกเสมออย่าทำตัวเป็นขยะสังคม บอกประชาชนใช้วิจารณญาณเลือกตั้ง

“นายกเบี้ยว” ยอมรับลูกขับรถหวาดเสียว พร้อมชดใช้-ดูแลลุงคู่กรณี

“นายกเบี้ยว” รับจบแทนลูก ยอมรับลูกขับรถหวาดเสียว พร้อมชดใช้ ดูแลลุงคู่กรณี ระบุสอนลูกไม่ดี ไม่มีเวลาให้ลูก ปฏิเสธไม่สนิทกับ ผบ.ตร. อย่าเอาท่านมาแปดเปื้อน ส่วนที่ลูกชายยังไม่ไปเยี่ยมลุงคู่กรณี เนื่องจากกลัวโดนถูกโวยวาย

ข่าวแนะนำ

ปล่องลิฟต์ตึกถล่ม

กทม.เดินหน้าเจาะปล่องลิฟต์ ค้นหาผู้สูญหายตึก สตง.

ผู้ว่าฯ กทม. เผยปฏิการค้นหาร่างผู้สูญหายจากเหตุตึก สตง.ถล่ม วันนี้เน้นเจาะปล่องลิฟต์-บันไดหนีไฟ หลังวานนี้ (18 เม.ย.) พบผู้เสียชีวิตในจุดดังกล่าวเพิ่มอีก 6 ราย ยืนยัน กทม. ให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงานในการเข้า เก็บพยานหลักฐาน เพื่อหาตัวผู้รับผิดชอบกับเหตุการณ์ดังกล่าว