กรุงเทพ 26 ก.ย.-ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดสัมมนาธุรกิจครอบครัวแห่งปี เพื่อพลิกอนาคตธุรกิจครอบครัวให้เติบโตอย่างยั่งยืน และลบคำสบประมาทที่ว่า ธุรกิจครอบครัวจะสิ้นสุดภายใน 3 รุ่น
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ และพันธมิตร ยังคงมุ่งมั่นให้ความสำคัญในการสนับสนุน และพัฒนาธุรกิจครอบครัวไทยให้เข้มแข็ง และเติบโตเป็นเสาหลักเป็นกำสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุน และเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง อีกทั้งเรื่องธุรกิจครอบครัว กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญในยุคความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการก้าวเข้าสู่ยุค AI เต็มตัว โดยตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี นอกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเป็นผู้นำในการเปิดเวทีจัดงานสัมมนา SET Annual Conference on Family Business แล้วการดำเนินโครงการต่างๆ ร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อสนับสนุนธุรกิจครอบครัว ให้สามารถปรับตัวและเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนไปทั้งระบบนิเวศ มีหลายโครงการ อาทิ โครงการสนับสนุนทุนวิจัยสำหรับอาจารย์ ในการผลิตงานวิจัยเกี่ยวกับธุรกิจครอบครัวไทย เพื่อส่งเสริมให้เกิดงานวิจัยที่มีคุณภาพ และสนับสนุนให้อาจารย์และผู้เชี่ยวชาญในสถาบันการศึกษาได้ศึกษาวิจัยในประเด็นที่เชื่อมโยงระหว่างธุรกิจครอบครัว ตลาดทุนไทยและเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับความสนใจอย่างยิ่งจากนักวิจัย มีผู้ร่วมยื่นข้อเสนอรับทุนรวมกว่า 30 หัวข้องานวิจัย และมีหัวข้องานวิจัยที่ผ่านเข้ารอบ 6 หัวข้อ คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถเผยแพร่ผลงานวิจัยได้ทั้งหมดรวมถึง ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการพัฒนาฐานข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวในตลาดหุ้นไทย เพื่อเป็นฐานข้อมูลผลิตงานวิจัยสำหรับผู้ที่สนใจทั่วไป
โครงการ Family Business Thailand โดยความร่วมมือระหว่าง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัว ให้มีองค์ความรู้ด้านบริหารจัดการธุรกิจ และการตลาดด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ อันจะนำมาซึ่งข้อมูลที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างโอกาสทางการค้าและการบริหารเครือข่ายให้แก่ธุรกิจครอบครัว

โครงการห้องเรียนธุรกิจครอบครัว บน LiVE Platform ที่ให้ธุรกิจครอบครัวเข้ามาเรียนรู้โดยการพัฒนาความรู้ที่สำคัญ และจำเป็นเฉพาะด้านสำหรับธุรกิจครอบครัว มีการเชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญมาช่วยกันพัฒนาเนื้อหาหลักสูตรและเผยแพร่องค์ความรู้ ประสบการณ์ร่วมกัน ปัจจุบันมีเนื้อหาหลักสูตรกว่า 180 ชิ้น ในหลากหลายรูปแบบ อาทิ e-Learning คลิป บทความ มีผู้ได้รับความรู้ไปแล้วกว่า 1 หมื่นราย
นอกจากโครงการเหล่านี้ที่ต้องทำต่อเนื่องแล้ว ในอนาคตตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงเป็น “บ้านแห่งโอกาส” สำหรับธุรกิจครอบครัวไทย ในการเดินหน้าร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อให้การทำงานผ่านโครงการ กิจกรรมต่างๆ มีความยั่งยืน เกิดประโยชน์ที่แท้จริงกับธุรกิจครอบครัวไทย ตลาดทุนและประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อการร่วมมือกัน พลิกอนาคตธุรกิจครอบครัว ให้โตอย่างยั่งยืนรวมถึงเป็นการ “ลบคำสาป” ที่ว่า ธุรกิจครอบครัวจะจบสิ้นภายใน 3 รุ่น
ในโอกาสนี้ ขอให้ 8 แนวทางในการ Transformation ของธุรกิจครอบครัวไทย สู่ยุค AI เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
1.ประเมินความพร้อมขององค์กร และทำความเข้าใจศักยภาพของ AI ในการกำหนดกลยุทธ์เป้าหมายว่า AI จะนำไปสู่ความสำเร็จของธุรกิจได้อย่างไร โดยควรมีการกำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายค่านิยมของธุรกิจให้ชัดเจน วางแผนการนำ AI มาใช้ให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะสั้นและยาว และพิจารณาปัญหาที่ AI จะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างไร รวมถึงดูว่าคู่แข่งหรือคู่ค้าทางธุรกิจแบบเดียวกันใช้ AI ในรูปแบบใด ทั้งนี้ ควรใช้ที่ปรึกษา หรือกรรมการมืออาชีพที่มีความรู้ในเรื่อง AI มาช่วยพัฒนาระบบ AI และการใช้งาน
2.พิจารณาโอกาสและความเสี่ยง วิเคราะห์โอกาส อุปสรรค และความเสี่ยงจากการใช้ AI อย่างรอบคอบ รวมถึงในประเด็นกฎหมาย ความรับผิดชอบ การลงทุน พัฒนาทักษะบุคลากรและวัฒนธรรมองค์กรเพื่อให้บุคลากรเรียนรู้ อบรมและพัฒนาทักษะดิจิทัล เพื่อให้ผู้บริหารให้เข้าใจ AI และเทคโนโลยีใหม่ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจครอบครัวได้ถูกต้องตามหลักจริยธรรมและกฎหมาย
3.สร้างวัฒนธรรมนวัตกรรม ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ ทดลอง และอาศัยศึกษาจากความล้มเหลวผิดพลาดการไม่ใช้หรือการใช้ AI ในองค์กรอื่น โดยสามารถปรับปรุงวิธีการทำงานและการปรับโครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องกัน ทั้งนี้ควรมีที่ปรึกษาหรือกรรมการมืออาชีพที่มีความรู้ในเรื่องนี้มาช่วยให้คำแนะนำเช่นกัน
4.เพิ่มบทบาททายาทรุ่นใหม่ เปิดโอกาสให้ Next Gen รุ่น X, Y, Z มีส่วนร่วมในการนำ AI และเทคโนโลยีใหม่เข้าสู่ธุรกิจ โดยมอบหมายอำนาจในการบริหารจัดการภายใต้ที่ปรึกษาหรือกรรมการมืออาชีพที่มีความรู้ด้าน AI มาช่วยแนะนำ อีกทั้งผู้ส่งมอบธุรกิจต้องสนับสนุนทั้งการลงทุนและควรเรียนรู้เรื่องดังกล่าวด้วยตนเอง รวมถึงควรทดลองนำ AI มาใช้ในการทำงานของตนเองด้วย
5.ยินยอมกระจายอำนาจการตัดสินใจ โดยมอบหมายงานและกระจายอำนาจให้กับทายาทรุ่นใหม่ๆ ที่มีความสามารถในเรื่อง AI มากขึ้น เพื่อลดความล่าช้าในการปรับตัว โดยกำหนดระยะเวลาเป้าหมายชัดเจนและเงินลงทุนที่เหมาะสม หรืออาจแยกธุรกิจ AI ออกมาให้คนรุ่นใหม่บริหารเพื่อสนับสนุนธุรกิจอื่นๆ ด้วย หากมีธุรกิจหลากหลาย
6.ลงทุนในบุคลากร เทคโนโลยี และระบบข้อมูล และลงทุนพัฒนาทักษะของผู้บริหาร พนักงานเรื่อง AI อย่างจริงจัง เช่น การลงทุนในเทคโนโลยี ย้ายข้อมูลสู่ระบบคลาวด์, ใช้ Hybrid Cloud เพื่อความยืดหยุ่นและลดต้นทุนในการทำงาน โดยอาจเลือกลงทุนในโครงการที่เล็กๆ ก่อนสำหรับผู้ที่ยังไม่มั่นใจ ทั้งนี้ ควรศึกษาจากตัวอย่างธุรกิจที่มีการนำ AI และ IoT มาใช้ เช่น ระบบ Smart Farm, ระบบอัตโนมัติในโรงงาน, Chatbot สำหรับบริการลูกค้า
7.บริหารจัดการความเสี่ยงและจริยธรรม หากธุรกิจครอบครัวนำ AI มาใช้ ก็จะต้องวางนโยบายการใช้ AI อย่างรับผิดชอบ คำนึงถึงผลกระทบทางจริยธรรม ความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนด ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการใช้ AI เป็นไปตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเป็นไปตามแนวนโยบายของรัฐบาล
8.วัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเทคโนโลยี AI เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ต้องมีการวัดผลและตัดสินใจปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยเร็ว และติดตามนโยบายและสถานการณ์ การส่งเสริมจากภาครัฐในเรื่องมาตรการภาษี BOI หรือเงินสนับสนุนจากภาครัฐพร้อมๆ กันไป
ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวด้วยว่า ฐานข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รวบรวมไว้มาแชร์ให้ทราบว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2565-2567) บริษัทธุรกิจครอบครัวใช้กลไกของตลาดหุ้นไทยในการระดมทุนเพื่อขยายกิจการ และเติบโตอย่างต่อเนื่อง
- มูลค่าสินทรัพย์เติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 9% ต่อปี และมีสัดส่วน 55% ของสินทรัพย์รวมทั้งตลาด
- รายได้รวม ยังคงเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 11% ต่อปี และมีสัดส่วน 48% ของรายได้รวมทั้งตลาด
- กำไรรวม มีการผันผวนไปตามภาวะตลาด แต่ก็ยังมีสัดส่วนเฉลี่ย 54% ของกำไรรวมทั้งตลาด
- สัดส่วน Market Cap บริษัทที่เป็น Family Business ต่อ Total Market Cap เฉลี่ย 3 ปี อยู่ในระดับ 53%
- การจ้างงาน 3 ปีที่ผ่านมา มีการจ้างงานเฉลี่ยมากถึง 1 ล้าน 4 แสนอัตรา หรือร้อยละ 74 ของการจ้างงานทั้งหมดของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย
จากข้อมูลตัวเลขข้างต้นนี้ ทำให้เห็นได้ว่า บริษัทธุรกิจครอบครัวได้รับประโยชน์จากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อตลาดทุนไทยเป็นอย่างมาก.- 513 สำนักข่าวไทย