กรุงเทพฯ 23 ก.ย. – กลุ่มยานยนต์รอลุ้น “คนละครึ่ง” แนะฟื้นมาตรการหนุนซื้อรถกระบะ ยอดขายรถไฟฟ้า ยังไปต่อ
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว กระทบยอดขายรถยนต์ เพราะกำลังซื้อลดลง ธนาคาร ลิสซิ่ง ปฏิเสธการปล่อยกู้หวั่นหนี้เสีย ค่ายรถยนต์จึงอยากให้รัฐบาลเดินหน้าโครงการคนละครึ่ง คาดว่าเงื่อนไขน่าจะสรุปได้เร็วๆ นี้ เพราะจะทำให้ร้าค้ารายย่อยมียอดขายเพิ่ม ทำให้มีกำลังผ่อนงวดรถ รวมถึงการฟื้นมาตรการหนุนซื้อรถกระบะ ทั้ง “กระบะพี่ มีคลังค้ำ”, “รถเก่าแลกรถใหม่” การตั้งกองทุนชดเชยหากมีปัญหาหนี้เสีย เพื่อให้เกษตรกร ร้านค้ารายย่อย มีกำลังซื้อรถกระบะเพิ่มขึ้น
หากมีปัญหาหนี้เสีย กองทุนเข้าไปชดเชยความเสียหายให้กับธนาคาร เช่น รถราคาเฉลี่ย 6 แสนบาท หากขายได้ 1 แสนคัน วงเงิน 6 หมื่นล้านบาท รัฐบาลจะได้ภาษีสรรพสามิต 1,800 ล้านบาท และภาษีมูลค่าเพิ่ม 4,200 ล้านบาท รวมภาษีรายได้ 6,000 ล้านบาท ยอดขายรถเพิ่มยังช่วยหนุนการจ้างงาน การใช้ชิ้นส่วนประกอบในประเทศถึงร้อยละ 90 กระจายไปยังหลายกลุ่ม และเมื่อนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ ระบุว่า แนวโน้มดอกเบี้ยจะเป็นขาลง ย่อมทำให้ต้นทุนลดลง จึงเป็นแรงทำให้งวดผ่อนชำระมีภาระลดลง ผู้ประกอบการจึงหวังให้รัฐบาลใหม่และผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ มาช่วยลดต้นทุนการกู้เงินและผ่อนชำระรายงวด


ขณะนี้ค่ายรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเร่งตั้งโรงงานในประเทศ ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ตามสัญญากับกรมสรรพสามิตผ่านโครงการ EV 3.0-EV 3.5 ต้องผลิตชดเชยการนำเข้าจากปี 2556-66 จำนวน 1-1.5 เท่า ปัจจุบันผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้าได้แล้ว 14,000 คันในปี 68 ยังเหลืออีก 70,000 คัน คาดว่าจะผลิตได้ 1 แสนคัน ตามเป้าหมาย เพราะหากไม่ทำตามสัญญา กรมสรรพสามิตต้องปรับบวกเงินเพิ่ม และยึดเงินชดเชยการเข้าร่วมโครงการ รวมถึงภาษีสรรพสามิต จากเดิมจัดเก็บร้อยละ 8 ลดเหลือร้อยละ 2 ต้องกลับไปจ่ายภาษีร้อยละ 8 เหมือนเดิม
นายสุรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ยอดขายรถยนต์นั่งไฟฟ้าเฉลี่ย 1 หมื่นคัน/เดือน เพราะราคาไม่แพง คนไทยจับต้องได้ ค่ายรถยนต์ไฟฟ้า จึงมียอดขาย 8 เดือน สูงถึง 72,274 คัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 51.69 เนื่องจากขณะนี้แบตเตอรี่จากลิเธียม และโซเดียม มีราคาถูกลง รถไฟฟ้าจึงเติบโตได้ต่อเนื่อง เทียบจากยอดขายรถยนต์เครื่องน้ำมัน 88,222 คัน ลดลงร้อยละ 16.96 จากยอดขายรถยนต์นั่งทั้งหมด 256,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.96
สำหรับการผลิตตั้งแต่เดือนมกราคม – สิงหาคม 2568 ผลิตได้รวม 601,457 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – สิงหาคม 2567 ร้อยละ 4.49 และตั้งแต่เดือนมกราคม – สิงหาคม 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 134,228 คัน เท่ากับร้อยละ 38.77 ของยอดผลิตรถยนต์นั่ง ลดลงจากเดือนมกราคม – สิงหาคม 2567 ร้อยละ 33.35 การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 ผลิตได้ 324,628 คัน เท่ากับร้อยละ 34.25 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 1.69 .-515- สำนักข่าวไทย