ระนอง 6 ส.ค. – สนข.ลงพื้นที่จังหวัดระนอง รับฟังความคิดเห็นของคนในพื้นที่เน้นสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการพัฒนาท่าเรือบริเวณแหลมอ่าวอ่าง อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง เพื่อกำหนดร่างมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปได้ในทางปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
นายจิรโรจน์ ศุกลรัตน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เปิดเผยภายหลังการประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 3 โครงการพัฒนาท่าเรือบริเวณแหลมอ่าวอ่าง อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง ภายใต้โครงการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ณ ห้องราชาวดี ชั้น 3 เฮอริเทจ แกรนด์ คอนเวนชั่น อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง ซึ่งได้รับเกียรติจากนายราชัน มีน้อย รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เป็นประธานการประชุม ฯ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง สถาบันการศึกษา ผู้นำชุมชนผู้แทนกลุ่มอาชีพ เครือข่ายภาคประชาสังคม นักวิชาการและผู้ที่อาจได้รับผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบจากการพัฒนาโครงการ สื่อมวลชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วมการประชุมรับฟังความคิดเห็นดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
นายจิรโรจน์ กล่าวว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีข้อสั่งการให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เร่งรัดผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ และเน้นย้ำต่อกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ทุกขั้นตอนของการดำเนินงาน เพื่อกำหนดร่างมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปได้ในทางปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การพัฒนาท่าเรือฝั่งอันดามันในพื้นที่จังหวัดระนอง และท่าเรือฝั่งอ่าวไทยในพื้นที่จังหวัดชุมพร เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Green Port ตามนโยบายที่มอบให้ไว้กับ สนข. สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์ ใช้หลักการท่าเรือเดียวเชื่อมสองฝั่ง (One Port Two Sides)
ที่จะต้องก่อสร้างและบริหารงานพร้อมกันทั้งโครงการ ซึ่งจะพัฒนาให้เป็นท่าเรือน้ำลึกที่ทันสมัย โดยได้มีการศึกษาความเหมาะสมการบริหารจัดการท่าเรือ ด้วยระบบ Automation มาใช้ในการขนย้ายสินค้า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยมีการพัฒนาโครงสร่างพื้นฐานทางถนน และทางรถไฟเชื่อมโยงท่าเรือทั้ง 2 ฝั่ง เพื่อสนับสนุนนโยบายด้านการขนส่งของปะเทศไทยจากการได้เปรียบทางที่ตั้งและภูมิศาสตร์ในภาคใต้ที่มีลักษณะทางกายภาพสามารถเปิดสู่ทะเลทั้งสองด้าน จึงเป็นโอกาสที่จะได้ใช้ประโยชน์จากทำเลที่ตั้งดังกล่าว เพื่อนำมาพัฒนาเป็นเส้นทางทางเลือกในการขนส่งสินค้าทางทะเล เพื่อเชื่อมโยงฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน นอกเหนือจากการขนส่งสินค้าผ่านช่องแคบมะละกาในปัจจุบัน อันเป็นการสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพทางการค้าของประเทศไทยกับกลุ่มประเทศที่อยู่ทางด้านมหาสมุทรอินเดีย สอดคล้องต่อยุทธศาสตร์ นโยบาย และผลการศึกษาของโครงการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา Landbridge ต่าง ๆ ในภูมิภาคภาคใต้ของประเทศไทย เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าสองฝั่งทะเล (อ่าวไทย – อันดามัน) ต่อไป
นายจิรโรจน์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 3 โครงการพัฒนาท่าเรือบริเวณแหลมอ่าวอ่าง อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง ที่ สนข. จัดขึ้นนั้น ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก เช่น ผู้นำชุมชนในพื้นที่ ผู้แทนกลุ่มอาชีพ เครือข่ายภาคประชาสังคม นักวิชาการและผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากการพัฒนาโครงการ ได้ร่วมกันเสนอความคิดเห็นที่หลากหลาย ทั้งที่เห็นด้วยและเห็นต่าง โดยผู้เห็นต่างได้เสนอข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินโครงการ โดย สนข. จะนำเอาข้อเสนอแนะ และข้อคิดเห็นต่าง ๆ มากำหนดร่างมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปได้ในทางปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่เห็นด้วยต่อการดำเนินโครงการและให้ สนข. รีบดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการดำเนินรงานที่กำหนดไว้ ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสที่ดี ที่จะทำให้ประเทศไทย ก้าวสู่การเป็นเส้นทางเดินเรือใหม่ของโลก และเป็นศูนย์กลางการขนส่งและเศรษฐกิจใหม่ทางทะเล ที่จะสร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนในพื้นที่ และสร้างเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างแท้จริง.-513-สำนักข่าวไทย