กรุงเทพฯ 1 ส.ค. – นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เตรียมทำหนังสือถึงรัฐบาล ขอความชัดเจนการเปิดนำเข้าเนื้อสุกรจากสหรัฐ หวั่นผู้บริโภค-รายย่อยกระทบหนัก ชี้ราคาตกแล้ว เพียงแค่มีข่าวเปิดนำเข้า
นายสิทธิพันธ์ กล่าวว่า ได้ติดตามข่าวจากภาษีสหรัฐที่ตกลงจัดเก็บภาษีนำเข้าจากไทยลดลงจาก 36% เหลือ 19% ซึ่งเป็นที่น่ายินดีที่ภาษีลดลง แต่ข้อกังวลคือ กลุ่มผู้เลี้ยงสุกรจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด เพราะนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่าในข้อตกลงจะเปิดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐในสัดส่วนราว 1% ของการผลิตในประเทศ ซึ่งยังไม่ได้ระบุชัดว่าจะเป็นอัตรานำเข้าจะเป็น 0% หรือว่ามากน้อยเพียงใด โดยทางสมาคมฯ จะทำหนังสือถึงรัฐบาลเพื่อขอทราบข้อตกลงที่ชัดเจน หากรับทราบแล้วทางสมาคมฯ จะนำมาหารือ และกำหนดการเคลื่อนไหวทั้งการเจรากับรัฐบาลเพื่อลดผลกระทบ หรือมีข้อเสนอในด้านอื่น ๆ
นายสิทธิพันธ์ กล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงจะมีผลกระทบต่อคนไทยในหลากหลายเรื่อง โดยเฉพาะสารเร่งเนื้อแดงที่สหรัฐยังคงเป็นประเทศเดียวที่ใช้อยู่ ไทยโดยข้อกำหนดกรมปศุสัตว์ของไทยได้ยกเลิกการใช้มากว่า 20 ปีแล้ว เพราะทราบดีมีผลกระทบก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ในระบบหายใจ และสารก่อมะเร็ง ซึ่งก็มีกระแสข่าวในขณะนี้ว่า รัฐบาลกำลังล็อบบี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้ยกเลิกข้อกำหนดมาตรฐานที่ให้อาหารทุกชนิด ต้องไม่พบการปนเปื้อนของสารเคมีกลุ่มเร่งเนื้อแดงกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ และเกลือของสารกลุ่มนี้
นอกจากนี้ หากรัฐบาลเปิดนำเข้าเนื้อสุกรจาก สหรัฐ 1% ของกำลังผลิตในไทยกว่า 1 ล้านตัน ก็เท่ากับเปิดนำเข้ากว่า 1 หมื่นตัน ยิ่งกระทบความสามารถในการแข่งขันของผู้เลี้ยงรายเล็กที่ต้นทุนสูงกว่า จะต้องล้มหายตายจากไปจากธุรกิจนี้ กว่าแสนราย และจากที่มีข่าวว่าไทยเปิดนำเข้าก็ส่งผลให้เนื้อสุกรของไทยราคาร่วงลงอย่างรวดเร็ว
“ปัจจุบันไทยผลิตสุกรเหลือมากกว่าบริโภค 1-2% หากนำเข้ามาอีกก็เหลืออีก แข่งขันก็ลำบาก โดยตั้งแต่มีข่าวนำเข้า บวกกับเศรษฐกิจไทยซบเซา ก็ทำให้ราคาลดลงอย่างรวดเร็ว สุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มลดลงเหลือ 50-60 บาท/กก. ขาดทุนเพราะต้นทุนอยู่ที่ราว 70 บาท/กก. โดยขณะนี้ไทยผลิตเนื้อสุกรราว 20-23 ล้านตันต่อปี มีผู้เลี้ยงรวม 1.5 แสนราย เป็นรายย่อยกว่า 1 แสนราย ซึ่งกลุ่มนี้ต้นทุนสูงกว่าสหรัฐ แข่งขันได้ยาก “นายสิทธิพันธ์ กล่าว. -511-สำนักข่าวไทย