กรุงเทพฯ 26 พ.ค. – ตลท.เร่งเครื่องแผน Jump+ ฟื้นเสน่ห์หุ้นไทย หวังรัฐดันโครงการใหญ่ หนุนต่างชาติเข้าลงทุน พัฒนาผลิตภัณฑ์ รองรับพฤติกรรมนักลงทุนหน้าใหม่ที่เปลี่ยนไป ภาคตลาดทุนชี้ หุ้นไทยราคาน่าสนใจ แนะรัฐเด็ดขาด ปรับโครงสร้างตลาดทุน
ภายในงานเสวนา “Dailynews Talk 2025 ปลุกเสน่ห์หุ้น-คริปโทฯ ครึ่งปีหลัง 2025” นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงเสน่ห์ของตลาดหุ้นไทยว่ายังมีอยู่ต่อเนื่อง หลายบริษัทยังเติบโตได้ เพียงต้องค้นหาและวิเคราะห์ข้อมูลมากยิ่งขึ้น หากดึงการลงทุนกลับมาได้จะเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศจากภาครัฐที่จะเป็นตัวกระตุ้นได้ สร้างความมั่นใจ นักลงทุนต่างประเทศยังคาดหวังเห็นการเดินหน้าโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการแลนด์บริดจ์ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง
หนึ่งในโครงการที่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะปลุกขึ้นมา ก็คือการโครงการ Jump+ ให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) วิเคราะห์ วางแผนตั้งเป้าหมายชัดเจนว่าใน 3 ปีจะลงทุนอะไร เพิ่มมูลค่าให้กิจการได้เท่าไหร่ จึงอยากให้เตรียมพร้อมและสื่อสารให้นักลงทุนทราบว่าทุกไตรมาส ทุกเดือนประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน เพื่อสร้างเสน่ห์ให้กับหุ้นไทย
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังทำหน้าที่สร้างทางเลือกการลงทุน เช่น การลงทุนผ่าน DR รวมไปถึงการปรับปรุงกฎเกณฑ์สม่ำเสมอ เพราะตลาดทุนพัฒนาไปเรื่อยๆ และติดตามพฤติกรรมในตลาดทุน เช่น ชอร์ตเซลล์ ที่ผิดกฎ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำงานร่วมกับ ก.ล.ต.ปิดช่องโหว่เพื่อสร้างความเชื่อมั่น
ในอนาคตยังต้องการ ดึงดูดธุรกิจใหม่ๆเข้ามาในตลาดทุนมากขึ้น ซึ่งอาจมีกฎเกณฑ์พิเศษ และกฎเกณฑ์ทางบัญชีปกป้องนักลงทุน โดยอยู่ระหว่างการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ว่าหากมีนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทยเราจะดึงดูดธุรกิจเหล่านี้มาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ได้มีการหารือกับสมาคมต่างๆ ทั้งสมาคมตลาดทุน ก.ล.ต. เพื่อวางแผนเพิ่มเสน่ห์ในอนาคตของตลาดทุน ซึ่งต้องใช้เวลา และพิจารณาทุกองค์ประกอบ ทั้งผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัท นักลงทุนรุ่นใหม่ๆ และนักลงทุนสถาบันแบบใหม่จะพัฒนาอย่างไร จะสามารถดึงดูดมาจากต่างประเทศได้หรือไม่

“การลงทุนของนักลงทุนรุ่นใหม่ๆ ค่อนข้างเล็กลง วันนี้รายย่อยมีกำลังซื้ออยู่ที่ 500 บาท จากในอดีตต้องมีเงินหลักพันบาท และเราต้องใช้เทคโนโลยีอย่างไรช่วยเหลือนักลงทุนทั้งด้านการเข้าถึงแพลตฟอร์มที่หลากหลาย ลดค่าใช้จ่ายบริษัทหลักทรัพย์อย่างไร ช่วยเหลือกันให้อยู่รอดและเติบโตไปด้วยกัน” นายอัสสเดช กล่าว
ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในครึ่งปี ยังมีเสน่ห์ น่าสนใจคือราคาหุ้นไม่แพง เมื่อเทียบกับอดีต จำนวนหุ้น 60-70% เทรดต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม 2-3 ปี ตลาดหุ้นไทยติดลบทุกปี ขณะที่ต่างประเทศมีการเติบโตสูงกว่า เพราะคนไม่มั่นใจกับอนาคต จึงถือหุ้นน้อยลง ขายออกมาต่ำกว่ามูลค่า แต่หากมองดูตอนนี้ตลาดหุ้นไทยมีหุ้นที่น่าสนใจอยู่ในระดับหนึ่งต้องทำให้คนหรือนักลงทุนได้เห็นส่วนนี้ ขณะที่รัฐบาลปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับตลาดทุนมากกว่ารัฐบาลอื่นๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เพราะมองว่า ตลาดทุนสามารถหนุนให้เศรษฐกิจเติบโตได้ ซึ่งหากมีแผนออกมาที่ชัดเจน นโยบายรัฐบาลทำได้จริง จะช่วยดึงการลงทุนเข้ามาได้ เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ เชื่อว่าอยากเห็น ดัชนี SET Index 1,800 จุดเป็นไปได้ โดยรัฐบาลต้องมีเดดไลน์ ทำไม่ได้ก็เปลี่ยนคนใหม่ วันนี้ต้องแก้หลายอย่าง
ขณะที่นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. จำเป็นต้องบริหารการลงทุนให้สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ พร้อมทั้งต้องพิจารณาภาพรวมของเศรษฐกิจในการตัดสินใจลงทุนด้วย ทั้งนี้ การลงทุนของ กบข. ครอบคลุมทั้งในตลาดหลักทรัพย์และนอกตลาด ซึ่งยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เน้นการลงทุนในลักษณะระยะยาว และยังมองหาโอกาสจากการลงทุนในหลักทรัพย์ทั่วโลก โดยให้ความสำคัญกับหุ้นที่มีราคาน่าสนใจและมีการจ่ายเงินปันผลที่ดี อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาพรวมของตลาดทุนไทยจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนักในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่ กบข. ยังคงเชื่อมั่นว่าตลาดทุนไทยมีศักยภาพในการเติบโตต่อไป
ด้านดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนหุ้นแบบเน้นคุณค่า กล่าวว่า วันนี้ต้องยอมรับว่าหุ้นไทยเป็นมูลค่าที่การเติบโตหายไป ปัจจัยจาก 3 เรื่องหลัก คือ 1.เรื่องประชากรศาสตร์ คนเกิดน้อยลงและตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทำให้เงินในกระเป๋าลดลง 2.คนทำงานเก่งขึ้นจากการใช้เครื่องจักรแต่มีเงินเดือนน้อย จึงต้องเพิ่มประสิทธิภาพคนไทยด้วยภาษาอังกฤษหรือภาษาที่สองหรือสาม และ3.จากการศึกษาทั่วโลก พบว่าการพัฒนาเศรษฐกิจการเติบโตของทั่วโลกอยู่ที่รัฐบาล ซึ่งระบบการปกครองหรือรัฐบาลที่ดีจะทำให้ประเทศนั้นๆเจริญขึ้นชัดเจน -516-สำนักข่าวไทย