กรุงเทพฯ 22 เม.ย. – นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย เผยคนไทยวางแผนการเงินไม่ถึง 3% ชี้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์เสี่ยงสูงสำหรับนักลงทุนรายย่อย มองดัชนีหุ้นไทยต่ำกว่า 1,200 จุด มี valuation น่าลงทุน แนะปรับพอร์ตลดสินทรัพย์เสี่ยงสูง กระจายลงทุนทั้งใน-ต่างประเทศ จับตาผลเจรจาไทย-สหรัฐ
นายวิโรจน์ ตั้งเจริญ นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพง บวกกับมาเจอความผันผวนของเศรษฐกิจโลก จากสงครามการค้า ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศทั่วโลกในอัตราสูง รวมทั้งไทยด้วย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย จากที่การเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัวอยู่แล้ว และในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ทั้งจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 รวมไปถึงแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของไทยที่ผ่านมา จึงทำให้คนไทยควรตระหนักถึงความสำคัญ ของการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล ไม่ใช่เรื่องไกลตัว
โดยแนะนำการวางแผนทางการเงินสำหรับคนไทย ว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันควรลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง เพิ่มทักษะ เพื่อหารายได้เพิ่มเติม และกระจายความเสี่ยงในหลายสินทรัพย์ เพิ่มเงินสดหาโอกาสลงทุน และหากพิจารณาตามหลักการ กลุ่มมนุษย์เงินเดือนควรสำรองเงินเผื่อกรณีฉุกเฉินเป็นจำนวนเงิน 6 เดือนของเงินเดือน และกลุ่ม Freelance ควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 12 เดือน ของค่าใช้จ่ายส่วนตัว และเมื่อกลับสู่ภาวะปกติการสำรองเงินฉุกเฉินก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น

นอกจากนี้ ปัจจัยด้านมหภาคนโยบายภาษีนำเข้าสินค้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่สร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเทศไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่ส่งผลให้เกิดความผันผวนต่อภาวะการลงทุน ทั้งตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ ซึ่งหากจัดพอร์ตการลงทุนแบบกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ (Asset Allocation) จะช่วยให้ลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้ โดยการจัดพอร์ตการลงทุนในภาวะแบบนี้ แนะนำให้ปรับของพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงลดลง 10-20% ด้วยการเพิ่มน้ำหนักในสินทรัพย์ที่เสี่ยงต่ำ รวมถึงถือเงินสดให้มากขึ้น เพราะหากราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลงแรง หลังนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เริ่มเห็นผลกระทบที่ชัดเจน ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงกลางปีนี้ ย่อมเป็นโอกาสของการกลับไปเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ ภายใต้แนวทางการจัดพอร์ตโดยกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมของตัวเรา
สำหรับตลาดหุ้นไทยขณะนี้ นายวิโรจน์ มองว่า ดัชนีหุ้นไทย อยู่ที่ระดับ 1,100 – 1,200 จุด ถือเป็น valuation ที่น่าสนใจ สามารถเข้ามาลงทุนได้ แม้ตลาดหุ้นจะมีความผันผวนแต่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ยังบอกไม่ได้ว่าดัชนีจะลงไปแตะระดับต่ำกว่านี้หรือไม่ โดยต้องรอการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐ และผลกระทบทางอ้อมจากการตอบโต้ระหว่างจีนกับสหรัฐ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐด้วย และอีก 2 เดือนข้างหน้า จะมีความชัดเจนในการประกาศขายกองทุน Thai ESGX ที่จะเป็นช่วยกนระตุ้นตลาดทุน ดังนั้นมองว่า หุ้นไทยยังมีเสน่ห์ แต่แนะนำว่าควรกระจายการลงทุนในหุ้นต่างประเทศด้วย
สำหรับการลงทุนในทองคำ มองว่าขณะนี้ไม่ใช่สินทรัพย์ที่ปลอดภัยแต่เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง สำหรับนักลงทุนรายย่อย เนื่องจากราคาทองานผันผวน มีคำแนะนำสำหรับผู้ที่มีทองอยู่แล้วควรปรับพอร์ต การลงทุนให้มีทองอยู่ที่ไม่เกิน 15% ส่วนคนที่ไม่เคยลงทุนในทองคำมาก่อน แนะนำว่าไม่ควรเกิน 5% ของพอร์ตการลงทุน โดยเน้นการลงทุนแบบ DCA หรือ เน้นการลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่ากันในแต่ล่ะงวด แต่สำหรับนักลงทุนกองทุนนั้น ทองคำยังจัดเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย

“ปัจจุบันคนไทยคนเข้าใจผิดว่า นักวางแผนการเงินมีไว้สำหรับคนรวยเท่านั้น ทำให้ ในประเทศไทยมีการใช้บริการนักวางแผนการเงินน้อยมาก แม้ปัจจุบันจะมีการใช้บริการเพิ่มขึ้น แต่จากสถิติพบว่า คนไทยยังมีการวางแผนการเงินไม่ถึง 3% สมาคมฯ เห็นว่า ในยุคแห่งความไม่แน่นอนในขณะนี้ การวางแผนการเงินเป็นสิ่งที่ช่วยมองความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในชีวิต และพยายามป้องกันหรือลดความเสี่ยงเหล่านั้นในน้อยที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบกับทรัพย์สินหรือรายได้ ที่เราพยายามหามา คืออุดรูรั่วให้หมดก่อนเติมน้ำให้เติมนั้นเอง” นาย วิโรจน์ กล่าว. -516-สำนักข่าวไทย