กรุงเทพฯ 1 ต.ค.-เมียนมาร์ ไฟฟ้ายังขาดแคลน สปป.ลาวมีแผนเป็น “แบตเตอรี” แห่งอาเซียน เอกชนไทยพร้อมเข้าลงทุนเสนอไอเดียเชื่อมอาเซียนกริดจาก ลาว-ไทยไปเมียนมาร์
นายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด(มหาชน) หรือ QTC เปิดเผยว่าเมื่อกลุ่มอาเซียนมีแผนเชื่อมโครงข่ายไฟฟ้าระหว่างกัน หรืออาเซียนกริด ซึ่งโครงการแรกจะมีการจำหน่ายไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ผ่านไทย เพื่อไปจำหน่ายแก่มาเลเซีย นับเป็นโครงการที่ดี ในขณะที่ ปัจจุบันเมียนมาร์ขาดแคลนไฟฟ้า และ สปป.ลาว กำลังผลิตไฟฟ้าตั้งเป้าหมายเพื่อส่งออก ตามแผนแบตเตอรีแห่งอาเซีย ดังนั้น รัฐบาลอาเซียนพิจารณาโครงการเชื่อมสายส่ง ลาว-ไทย-เมียนมาร์ เพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างกัน
“เมียนมาร์กำลังพัฒนาประเทศ ขาดแคลนไฟฟ้า ลาวมีกำลังผลิตและพร้อมส่งออก ส่วนไทยเป็นประเทศอยู่ตรงกลาง ก็น่าจะสนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงสายส่งระหว่างกัน”นายพูลพิพัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ คิวทีซี ในอดีตเป็นเพียงผู้ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้า จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ มีรายได้ประมาณ 900-1,200 ล้านบาท/ปี ในขณะนี้ผันตัวลงทุนด้านธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนมากขึ้น ทั้งในไทย เมียนมาร์ และ กำลังเจรจาโครงการพลังงานน้ำใน สปป.ลาว ตั้งเป้าหมายแผนการลงทุนใน 5 ปี(2561-2565) จะมีรายได้แตะ 2,000-3,000 ล้านบาท มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าจะเพิ่มเป็นร้อยละ 70 และธุรกิจจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าเหลือร้อยละ 30 โดยตามแผนจะขยายธุรกิจด้วยการซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าที่ก่อสร้างเสร็จแล้วเป็นหลัก เพราะมีรายได้ที่แน่นอน
ปัจจุบัน บริษัทได้เข้าลงทุนธุรกิจไฟฟ้าแล้ว 2 โครงการ คือ โครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มในไทย ” L Solar 1″ กำลังผลิต 8 เมกะวัตต์ และในเมียนมาร์ โครงการโซลาร์ฟาร์ม Mimbo กำลังผลิต 220 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุนประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท บริษัทถือหุ้นประมาณร้อยละ 15 ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง นับเป็น 1 ใน 9 โครงการแรกที่รัฐบาลเมียนมาร์อนุมัติให้เริ่มดำเนินการและจำหน่ายไฟฟ้าโดยตรงให้กับรัฐบาล และบริษัทยังร่วมกับ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ UAC ศึกษาความเป็นไปได้โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลในเมียนมาร์ กำลังผลิต 10 เมกะวัตต์
ส่วนใน สปป.ลาว บริษัทร่วมกับผู้ถือหุ้น คือ บริษัท เจริญ เซกอง กรุ๊ป จำกัด หรือ CSG ผู้มีประสบการณ์ในการพัฒนาและเป็นเจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหลายโครงการในลาว กำลังเจรจาเพื่อลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ “น้ำเชียม” กำลังผลิต 104 เมกะวัตต์ และ “น้ำคาน 3” กำลังผลิต 60 เมกะวัตต์ ซึ่งทั้ง 2 โครงการจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์( COD) ภายในปีนี้ บริษัท คาดหวังจะถือหุ้นประมาณร้อยละ 20 โดยเงินลงทุนอาจใช้รูปแบบเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง(PP) คาดว่าผลการศึกษาจะมีความชัดเจนภายในปลายปี2561 และบริษัทยังศึกษาโอกาสการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในลาวเพิ่มเติมอีก 2-3 โครงการ ซึ่งมีทั้งขนาดเล็กสุด 30 เมกะวัตต์ และขนาดใหญ่ 500 เมกะวัตต์-สำนักข่าวไทย
