กรุงเทพฯ 17 ต.ค.- ประธานบอร์ด ตลท. เชื่อ ธปท. ลดดอกเบี้ยนโยบายส่งผลบวกต่อตลาดทุน แย้มหารือ ก.ล.ต. ยื่นฟ้องเองคดีสำคัญ เพื่อความรวดเร็ว เตือนนักลงทุนศึกษาข้อมูล อย่าเชื่ออะไรที่ดีเกินไป
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานคณะกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ให้สัมภาษณ์ในโอกาสขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “How To Grow Exponential สร้างธุรกิจครอบครัวให้โตก้าวกระโดด” ในงานสัมมนา The Successor : Sustaining Family Legacy โดยระบุว่า ธุรกิจครอบครัวมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ธุรกิจครอบครัวจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ประมาณ 9 แสนบริษัท ขณะที่มีธุรกิจครอบครัวมากกว่า 500 บริษัท หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 67% จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นช่องทางหนึ่งที่จะทำให้ธุรกิจครอบครัวเติบโต โดยมองว่าสิ่งที่ธุรกิจครอบครัวควรเรียนรู้คือการทำธุรกิจอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาลด้วยการทำบัญชีเล่มเดียว การใช้ความสามารถของบุคคลในครอบครัวมาร่วมกันทำธุรกิจ หรือการรวมธุรกิจที่คล้ายกันเป็นกลุ่มบริษัท (holding company) จะยิ่งทำให้โอกาสเติบโตทางธุรกิจเพิ่มมากยิ่งขึ้น เปรียบเทียบการทำธุรกิจเหมือนการกลัดกระดุมเม็ดแรก หากเริ่มด้วยต้นด้วยโครงสร้างที่ดี ธุรกิจที่ดีจะเกิดขึ้นไปพร้อมๆ กับการดำเนินตามแนวทาง ESG ซึ่งถือเป็นทางรอด ไม่ใช่ทางเลือก ถือเป็นแนวทางที่ใช้ในธุรกิจทั่วโลก
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจครอบครัวเพื่อเข้าสู่ตลาดทุน มีทั้งการจัดสัมมนาอบรมความรู้ เตรียมความพร้อมทั้งระบบนิเวศ เพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้าถึงข้อมูลตลาด มีการประชุมระหว่างประเทศที่ดำเนินการมาแล้ว 2 ครั้ง และปีหน้าจะยังดำเนินการต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังเตรียมประสานความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาระดับประเทศและต่างประเทศเพื่อสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ธุรกิจครอบครัว เพื่อสร้างความเข้มแข็ง มั่นคง และมั่งคั่ง ให้กับธุรกิจครอบครัวไทย ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งตัวบริษัทและรัฐบาล หากเป็นไปได้อยากให้เมืองไทยมีธุรกิจครอบครัวที่อยู่ได้เป็น 100 ปี เหมือนในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันเงื่อนไขยังมีไม่ถึง 20 บริษัท
ประธานคณะกรรมการ ตลท. ยังกล่าวถึงกรณีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เชื่อว่าจะส่งผลบวกต่อภาพรวมธุรกิจดีขึ้น รวมไปถึงเอสเอ็มอี การปล่อยกู้ดีขึ้น ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาสสุดท้ายปีนี้น่าจะออกมาในทิศทางที่เป็นบวกกว่าที่คาด นอกจากนี้ยังมี การระดมทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง 150,000 ล้านบาท หากไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เชื่อว่าทิศทางตลาดหุ้นจะเป็นไปในทางบวก ขณะที่ปัจจัยภายนอกที่ยังต้องคำนึงถึงคือ สงครามในตะวันออกกลาง สงครามการค้า ส่วนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ มองว่าส่งผลกระทบต่อไทยไม่มาก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน
สำหรับมาตรการยกระดับการกำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมประสานความร่วมมือกับ ก.ล.ต. เพื่อสร้างความเข้มแข็งและโปร่งใสให้กับตลาดทุนไทย โดยที่ผ่านมาได้มีการทำงานร่วมกับ ปปง. และประสานความร่วมมือไปยังอัยการ ทั้งนี้ มีการพิจารณาที่จะให้ ก.ล.ต. ยื่นฟ้องเองในคดีที่สำคัญ เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการกระทำคดี ซึ่งกระบวนการดังกล่าวต้องพิจารณาผ่านสภาฯ ทำให้จากที่เคยใช้เวลาทำคดี 2-3 ปี จะสามารถลดระยะเวลาเหลือ 6 เดือน-1 ปี ซึ่งต้องมีการเพิ่มจำนวนบุคลากรที่มีความชำนาญทางคดีหรืออาจมีการยืมตัวอัยการ.-516-สำนักข่าวไทย