คลังดึงหลายหน่วยงานมุ่งผลักดันเศรษฐกิจสีเขียว

กรุงเทพฯ 30 ส.ค. – นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ในงานสัมมนาวิชาการ “Fiscal GreenPrint พิมพ์เขียวนโยบายการคลังสู่เศรษฐกิจสีเขียว” หัวข้อ “Fiscal GreenPrint: Bridging Policy and Practice เชื่อมนโยบายสู่การปฏิบัติ” นักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหม่ของ สศค.ได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า แนวความคิด “Carbon Competitiveness” มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ โดย สศค. ได้นำเสนอมาตรการการเงินการคลังที่จะช่วยผลักดันให้องคาพยพทุกภาคส่วนของระบบเศรษฐกิจสามารถปรับตัวไปสู่การดำเนินการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น เพื่อผลักดันนโยบายให้ไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม สศค. ในฐานะหน่วยงานเสนอแนะนโยบายของกระทรวงการคลัง ได้พัฒนาแนวคิด 4Es of Eco-Economic Strategy: (1) Elevate หรือการยกระดับห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบเพื่อเศรษฐกิจสีเขียว (2) Encourage หรือการผลักดันให้ภาคธุรกิจปรับตัวและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (3) Empower หรือการสร้าง Ecosystem เพื่อให้ภาคธุรกิจมีทรัพยากรบุคคลและความรู้เพียงพอสำหรับเศรษฐกิจแห่งอนาคต และ (4) Engage หรือการร่วมมือกันทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคธุรกิจ โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับประเทศในภูมิภาค ในเชิง “Carbon Competitiveness” โดยใช้ความได้เปรียบจากทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศน์ที่หลากหลาย รวมทั้งภาคเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สามารถพัฒนาเป็นแหล่งสร้างคาร์บอนเครดิตได้ เพื่อรักษาศักยภาพทางการแข่งขันของประเทศในระยะยาว


คุณชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) กล่าวว่า การลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ต้องเริ่มทำ แต่มีต้นทุนในการลงทุนขั้นต้นที่สูง ดังนั้น จำเป็นต้องมีมาตรการเพื่อเข้ามาผลักดันให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยสิ่งที่ต้องเริ่มดำเนินการเพื่อผลักดันให้ภาคธุรกิจสามารถปรับเปลี่ยนไปสู่การทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คือ การทำบัญชีคาร์บอน (Carbon Accounting) เพื่อประเมิน Carbon Footprint of Organization (CFO) และ Carbon Footprint of Products (CFP) เพื่อให้แต่ละองค์กรตระหนักถึงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง เพื่อให้สามารถวางแผนในการปรับตัวและเปลี่ยนผ่านสู่การประกอบธุรกิจสีเขียว ดังนั้น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจะเป็นประโยชน์ในการจูงใจให้ผู้ประกอบการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของตนเอง รวมทั้งการใช้พลังงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจดังกล่าว อย่างไรก็ดี ในการกำหนดนโยบายเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องคำนึงถึงต้นทุนที่เกิดขึ้นและพิจารณาทางเลือกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรอบด้าน ยกตัวอย่างเช่น การก้าวเข้าสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ใช้พลังงานฟอสซิล แต่อาจรวมถึงเทคโนโลยีการดักจับ กักเก็บ และใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (Carbon Capture Utilization and Storage) เป็นต้น

คุณผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของการมีนโยบายหรือมาตรการที่ชัดเจนจากภาครัฐที่จะช่วยผลักดันประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว โดยมีข้อเสนอแนะสำหรับภาครัฐ เช่น มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำซึ่งภาครัฐของประเทศจีนได้ปล่อยกู้ให้แก่ธนาคารพาณิชย์จีนเพื่อให้นำไปปล่อยต่อสำหรับการปรับเปลี่ยนธุรกิจจีนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มาตรการในการยกระดับตลาดคาร์บอนเครดิตของไทยโดยปรับมาตรฐานการวัดคาร์บอนเครดิต การสร้างฐานข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการประเมินและตรวจสอบคาร์บอนเครดิตและการสร้างมาตรฐานการบัญชีทางคาร์บอน (Carbon Accounting) ซึ่งจะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถคัดเลือกธุรกิจเพื่อให้สินเชื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์และป้องกันปัญหาการฟอกเขียว (Greenwashing) การสร้างองค์ความรู้และผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนและประเมินคาร์บอนเครดิต ทั้งนี้ ด้วยข้อเสนอต่าง ๆ และความร่วมมือของภาครัฐจะช่วยให้สามารถยกระดับภาคการเงินของไทยให้สอดคล้องกับหลักการด้านสิ่งแวดล้อม


ดร.พูนเพิ่ม วรรธนะพินทุ ผู้จัดการด้านความยั่งยืนระดับภูมิภาค บริษัท บูโร เวอริทัส (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึงอุปสรรคในการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตของไทยในปัจจุบัน คือ มาตรการฐานการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตของประเทศไทยยังแตกต่างจากมาตรฐานสากล ทำให้ไม่สามารถซื้อขายในตลาดโลกได้และเป็นการซื้อขายภายในประเทศในราคาที่ต่ำเมื่อเทียบกับราคาในต่างประเทศ อีกทั้งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตของไทยยังอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ประเทศไทยควรพัฒนาระบบการจัดการคาร์บอนโดยเฉพาะกลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศในยุคที่มีการนำกลไกราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (Carbon Cross Border Adjustment Mechanism) มาเป็นมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี นอกจากนี้ ควรพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยให้มีมาตรฐานและสร้างกลไกให้ราคาของคาร์บอนสามารถสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของคาร์บอนเครดิต ตัวอย่างเช่น คาร์บอนเครดิตที่ได้จากการรักษาป่าหรือปลูกป่าอาจมีประโยชน์ทางสังคมและสิ่งแวดล้อมมากกว่าคาร์บอนเครดิตที่ได้จากการอนุรักษ์พลังงาน เป็นต้น

คุณธันยวัฒน์ ทั่งตระกูล กรรมการผู้จัดการบริษัท ธาอีส อีโคเลทเธอร์ จำกัด ได้ให้ความเห็นในฐานะผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็กที่มีการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน โดยได้มีการนำของที่ใช้แล้วหรือขยะมาสร้างมูลค่าขึ้นใหม่ โดยไม่สร้างคาร์บอนขึ้นใหม่ในระหว่างกระบวนการผลิต และได้กล่าวถึง ความสำคัญและบทบาทความจำเป็นของสถาบันการเงินในการช่วยเหลือและส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็กให้สามารถเติบโตได้อย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งในแง่ของการสนับสนุนสินเชื่อและการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ อย่างไรก็ดี เพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเติบโตได้ นอกจากการช่วยเหลือจากภาครัฐแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจต้องมีความมุ่งมั่นและพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรองรับสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งผู้บริโภคได้ตระหนักรู้และให้ความสำคัญกับการเลือกใช้หรือเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้เน้นย้ำว่า เพื่อนำนโยบายด้านเศรษฐกิจสีเขียวไปสู่การปฏิบัติได้จริง จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมถือเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต เป็นมาตรการเชิงป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งยังช่วยให้เศรษฐกิจไทยก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกได้.-515- สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ทั่วไทยฝนตกหนัก เตือน 5 จังหวัดเสี่ยงรับมือ

กทม. 23 ส.ค.- กรมอุตุฯ เผยทั่วไทยฝนตกหนัก เตือน 5 จังหวัดเสี่ยงรับมือ เฝ้าระวัง “พายุดีเปรสชัน” มีแนวโน้มทวีกำลังแรงเป็นพายุโซนร้อน กระทบไทย 24-27 ส.ค.นี้ กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดตาก จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และฝนตกสะสมที่อาจเกิดขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศลาวตอนบน และเวียดนามตอนบน สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบนมีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และจะขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามและประเทศลาวตอนบน ในช่วงวันที่ 25–26 ส.ค. 68 ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้น กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ กับมีลมแรงบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคเหนือ ในช่วงวันที่ 24–27 ส.ค. 68 -สำนักข่าวไทย

โปรดเกล้าฯ 6 บิ๊ก ขรก.มหาดไทย “ขจรเกียรติ” นั่งอธิบดีกรมที่ดิน

ทำเนียบ 23 ส.ค.- โปรดเกล้าฯ 6 บิ๊กข้าราชการมหาดไทย “ขจรเกียรติ” นั่งอธิบดีกรมที่ดิน ด้าน “เชษฐา” เป็นอธิบดี ปภ. ราชกิจจานุเบกษา ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย พ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 6 ราย ดังนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 ส.ค.2568 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 22 ส.ค.2568 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี -สำนักข่าวไทย

จับอดีตหัวหน้าพรรคการเมืองโกงเงินอุดหนุน ก่อนหนีกบดานลาว

22 ส.ค. – ตำรวจภูธรภาค 1 จับอดีตหัวหน้าพรรคการเมือง โกงเงินอุดหนุน 17.6 ล้านบาท หนีกบดานลาว ก่อนจนมุมถูกจับกุมได้ พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1), พล.ต.ต.นราเดช ทิพย์รักษ์ รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.วรชาติ แสนคำ ผบก.สส.ภ.1, พล.ต.ต.ธรรมนูญ เชาวะวนิชย์ ผบก.ภ.จว.สระบุรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พระพุทธบาท, ตม.จว.หนองคาย, กกต.จว.หนองคาย ร่วมกันจับกุม นายพีระวิทย์ อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ สืบเนื่องจากเมื่อปี 2562 นายพีระวิทย์ เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง รับเงินอุดหนุนพรรคการเมือง เพื่อพัฒนาพรรคการเมือง จำนวนประมาณ 17.6 ล้านบาท โดยไม่มีการทำหลักฐานการเบิกจ่าย ทำให้ กกต. เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายพีระวิทย์ และเหรัญญิกพรรค ต่อมาผู้ต้องหาทั้งสองเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สภ.พระพุทธบาท โดยเลื่อนการเข้าให้ปากคำและแสดงหลักฐานการเบิกจ่ายเงิน และต่อมาผู้ต้องหาทั้งสองได้หลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงออกหมายจับในข้อหา […]

“ธีรรัตน์” สั่งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ สแตนด์บาย 24 ชม. รับพายุคาจิกิ

กทม. 22 ส.ค.- “ธีรรัตน์” สั่งการผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ สแตนด์บายรับมือผลกระทบ “พายุคาจิกิ” ตลอด 24 ชั่วโมง ย้ำ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนรับรู้และเตรียมพร้อมอย่างต่อเนื่อง นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ติดตามสภาวะอากาศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับผลกระทบพายุโซนร้อน “คาจิกิ” ซึ่งพบว่าพื้นที่บางส่วนมีความเสี่ยงต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังซ้ำซาก ระหว่างวันที่ 24 – 28 สิงหาคม 2568 ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ 45 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร นางสาวธีรรัตน์ ได้สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัด 45 จังหวัด และศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต รวมถึงกรุงเทพมหานคร กำชับให้จัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศ ปริมาณฝน และสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับให้จัดทีมปฏิบัติการพร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าประจำพื้นที่เสี่ยง เพื่อเข้าเผชิญเหตุและให้การช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมประกาศแจ้งเตือนและปิดกั้นพื้นที่ไม่ให้บุคคลใดเข้าพื้นที่หากพบว่ามีความเสี่ยง ในส่วนพื้นที่ชายฝั่ง ให้สั่งห้ามนักท่องเที่ยวเล่นน้ำและห้ามเดินเรือทุกชนิดหากสถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรง “ให้ผู้ว่าฯ […]

ข่าวแนะนำ

ทีมทนายวัดพระบาทน้ำพุแจงปม “หลวงพ่ออลงกต” สวมบัตร ปชช. คนตาย

ลพบุรี 24 ส.ค. – วัดพระบาทน้ำพุ ตั้งโต๊ะแถลง ยืนยันเลขบัตรประชาชนของ “หลวงพ่ออลงกต” ไม่ซ้ำกับ “อลงกต พลมุข” ปัดตอบปมเลขบัตรประชาชนผู้เสียชีวิต ผูกพร้อมเพย์บัญชีมูลนิธิฯ ขอไปตรวจสอบก่อน ส่วนทางคดี จับตาสัปดาห์หน้า จะมีผู้ถูกดำเนินคดีมากกว่า 1 คน วันนี้ ที่วัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี นายศุภชัย สิงคาลวานิช หัวหน้าทีมทนายความของวัดพระบาทน้ำพุ พร้อมตัวแทนมูลนิธิต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัดพระบาทน้ำพุ ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆ เป็นครั้งแรก โดยบอกว่าวันนี้ หลวงพ่ออลงกตไม่ได้หลีกเลี่ยงที่จะมาให้สัมภาษณ์ แต่ครั้งนี้มีข้อมูลมาก มีปัญหาเรื่องข้อกฎหมายและปัญหาที่ซับซ้อนหลายอย่าง หากตอบไปอาจกระทบต่อคดี และยืนยันว่า หลวงพ่อมีเจตนาบริสุทธิ์ในการช่วยเหลือผู้ป่วย เด็กกำพร้า ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบางในสังคม ซึ่งขณะนี้สังคมเข้าใจผิดในหลายเรื่อง เพราะเกิดการชี้นำของหลายเพจ กลุ่มผู้มีอิทธิพลในบางสื่อ นำเรื่องมาปะติดปะต่อจนสร้างความเสียหาย ส่วนประเด็นที่กำลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องที่หลวงพ่ออลงกต สวมชื่อและเลขบัตรประชาชน “อลงกล พลมุข” ข้าราชการที่เสียชีวิตไปแล้วนั้น ทีมทนาย เปิดเผยว่า หลวงพ่ออลงกต มีบัตรประชาชนของท่านเอง และนามสกุลของท่าน […]

สกัดจับขบวนการค้ามนุษย์ ลอบขนคนไทยไปเขมร

สระแก้ว 24 ส.ค. – ทหารพรานลาดตระเวนชายแดนไทย-กัมพูชา บ้านกุดหิน ต.คลองน้ำใส อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว สกัดจับคนไทย 10 คน ขณะลักลอบเข้ากัมพูชา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นขณะเจ้าหน้าที่กำลังลาดตระเวนตามแนวชาย เพื่อสกัดกั้นสิ่งผิดกฎหมายที่จะแอบลักลอบขนข้ามแดน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจพบรถยนต์ต้องสงสัย 2 คัน ประกอบด้วย รถยนต์ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์สีขาว (ไม่ทราบทะเบียน) และ รถยนต์เก๋ง สีดำ ทะเบียนกรุงเทพมหานคร ซึ่งทั้งขับผ่านเข้ามาในพื้นที่ล่อแหลม โดยรถยนต์ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์สีขาว ได้จอดให้คนเดินลงมาจากรถ และเดินเข้าป่าไป จำนวน 6 คน ประกอบด้วย คนนำพา 1 คน และผู้ลักลอบ 5 คน โดยทั้งหมดเป็นคนไทย ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวไว้ได้ ส่วนรถยนต์เก๋งสีดำที่ขับตามมา เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ จึงขับหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่สามารถสกัดจับไว้ได้ (ห่างจากจุดแรกประมาณ 200 เมตร) จากการตรวจสอบภายในรถพบคนไทย 4 คน […]

พบหลุมจรวด BM-21 ที่ยังไม่ระเบิด ใกล้ศูนย์เด็กเล็ก

อุบลราชธานี 24 ส.ค. – พบหลุมจรวด BM-21 ที่ยังไม่ระเบิด ใน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี อยู่ริมสระน้ำใกล้ศูนย์เด็กเล็ก เพียง 100 เมตร จากกรณีที่กัมพูชา ยิงจรวด BM–21 เข้าใส่ชุมชน บ้านเรือนประชาชน ในฝั่งไทย จนนำไปสู่การสูญเสียชีวิต และทรัพย์สิน ของประชาชนคนไทย เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันผลกระทบจากจรวด BM–21 ต่อประชาชน คนไทย ยังคงมีอยู่ ภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกไว้ได้จากบ้านหลังหนึ่ง ในอำเภอน้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนั้นกัมพูชาได้ยิงจรวด BM-21 เข้ามาตกในเขตชุมชนฝั่งไทย โดยเหตุการณ์ครั้งนั้น มีจรวด BM-21 ตกมาทั้งหมด 11 ลูก 2 ใน 11 ลูก ตกใส่บ้านประชาชน จนบ้านพังเสียหายทั้งหมด 2 หลัง และมี 1 […]

“มาริษ” จ่อบินเจนีวา แจงประเทศกลุ่มสัญญาอนุภาคี

สวีเดน 24 ส.ค.-“มาริษ” เตรียมบินเจนีวาต่อ แจงประเทศกลุ่มสัญญาอนุภาคี-องค์การสิทธิมนุษยชน-กาชาด ย้ำไทยรักสันติ ทำตามกฎหมายระหว่างประเทศ ฟ้องเขมรใช้ทุ่นระเบิด-โจมตีพลเรือนไทย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่าหลังการเยือนสวีเดนอย่างเป็นทางการแล้วจะเดินทางไปเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 26 ส.ค.นี้ โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการคือ ไปชี้แจงให้กับประเทศกลุ่มสัญญาอนุภาคีให้เข้าใจสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งกัมพูชาใช้ยุทธศาสตรฺของการใช้ วัตถุระเบิดสังหารบุคคน ที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และอนุสัญญาออตตาวาและในโอกาสนี้จะพบกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่สืทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทุ่นระเบิดสังหาร การละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยการโจมตีเป้าหมายพลเรือน ของกัมพูชา รวมทั้งการใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (icrc )ก็ได้ออกมาพูดชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยอย่างมาก และไม่สนับสนุนให้มีการใช้สงครามข่าวสารในการต่อสู้ โดยใช้พลเรือนเป็นตัวกระทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน ซึ่งในโอกาสนี้ตนจะได้พบปะกับประธาน crc พอดี ซึ่งเคยพบกันที่กรุงเทพมหานครแล้ว และทางประธานทราบว่าตนจะมาเจนีวาก็สามารถมาพูดคุยกันต่อได้ ซึ่งจะได้อธิบายทั้ง 2 ประการเหล่านี้เพราะ icrc เป็นองค์กรหลักที่ดูกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งทั้งสามองค์กรที่เราวางกลยุทธ์ จะเข้ามาพูดคุย ชี้แจงก็เพื่อยืนยัน ใน ท่าทีบทบาท ของประเทศไทยที่ชัดเจนว่าเราเป็นประเทศ ที่รักสันติ เราต้องการ แก้ไขปัญหาระหว่างกันอย่างสันติวิธี แต่ต้องมีความจริงใจ […]