กรุงเวียงจันทร์ 20 ก.ค – ไทย-ลาว เปิดขบวนรถโดยสารระหว่างประเทศ เที่ยวปฐมฤกษ์ เส้นทางกรุงเทพอภิวัฒน์-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) เชื่อมสองเมืองหลวงด้วยระบบราง
นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และนายไซสงคราม มะโนทัม รองรัฐมนตรีกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง สปป ลาว เป็นประธานร่วมเปิดขบวนรถไฟระหว่างประเทศไทย-ลาว รองรับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมากับขบวนรถเร็วที่ 133 เที่ยวปฐมฤกษ์เส้นทางกรุงเทพอภิวัฒน์-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด)
นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ กล่าวว่า วันนี้เป็นวันอาสฬหบูชานับเป็นวันพระใหญ่ของ สปป ลาว จึงเป็นฤกษ์ดีในการเปิดเดินรถไฟจากกรุงเทพมหานครถึงสถานีเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) อย่างเป็นทางการ ซึ่งก่อนหน้านี้ สปป ลาว มีทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่างสถานีหนองคายฝั่งไทยกับสถานีท่านาแล้งฝั่ง สปป.ลาว ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร โดยมีขบวนรถโดยสารวิ่งระหว่างหนองคาย-ท่านาแล้งวันละ 4 ขบวน ต่อมาฝ่ายไทยได้ให้ความช่วยเหลือ สปป.ลาวในการก่อสร้างทางรถไฟขนาดทางกว้าง 1.000 เมตร (meter gauge) ระยะที่ 2 ช่วงท่านาแล้ง-เวียงจันทน์ ระยะทาง 7.5 กิโลเมตรที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปลายปี 2566 และได้มีการประชุมระหว่างไทย-ลาว เพื่อเตรียมความพร้อมเปิดเส้นทางเดินรถไฟ พร้อมกับฝึกอบรมพนักงานขับรถไฟให้กับบุคลากรของการรถไฟลาว และเมื่อวันที่ 14 – 20 พฤษภาคม 2567 รฟท. และ LNRE ได้เริ่มทดลองเดินรถไฟจากสถานีท่านาแล้งไปยังสถานีคำสะหวาด เพื่อทดสอบระบบและตรวจสอบด้านเทคนิคพร้อมทั้งได้มีการทดลองการเดินรถเเสมือนจริงเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ผลการทดสอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงได้มีการเปิดให้บริการเดินรถเป็นทางการในวันนี้
นายสุรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานีคำสะหวาดตั้งอยู่ที่บ้านคำสะหวาด เมืองไซเสดถา นครหลวงเวียงจันทน์ ห่างจากสถานีท่านาแล้งประมาณ 7.5 กิโลเมตร และห่างจากสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ประมาณ 16 กิโลเมตร สถานีนี้มีขนาด 2 ชั้น พร้อมชานชาลา 2 แห่ง โดยชั้นแรกมีพื้นที่ 6,300 ตารางเมตร และชั้นที่สองมีพื้นที่ 3,600 ตารางเมตร ได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ภายใต้โครงการก่อสร้างทางรถไฟไทย-ลาว ระยะที่ 2 (สายท่านาแล้ง-เวียงจันทน์) วงเงิน 994 ล้านบาท ประกอบด้วยงานก่อสร้างระบบรางรถไฟหลักระยะทาง 7.50 กม. งานระบบอาณัติสัญญาณ งานก่อสร้างสถานีเวียงจันทน์ บ้านพักเจ้าหน้าที่ ทางเข้าสถานีเวียงจันทน์ และงานจุดตัดทางรถไฟ โดยนายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศได้เป็นประธานในพิธีเปิดใช้สถานีรถไฟเวียงจันทน์(คำสะหวาด) เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา
นายสุรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเปิดเดินรถในครั้งนี้เป็นไปตามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ร่วมกับรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งชาติลาว (Lao National Railway State Enterprise: LNRE) โดยใช้พนักงานขับรถของ LNRE เป็นผู้ควบคุมขบวนรถจากสถานีท่านาแล้ง (สถานีระหว่างประเทศ) ไปยังสถานีเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) โดยมีพนักงาน รฟท. เป็นพี่เลี้ยงไปกับรถจักรดีเซลไฟฟ้าด้วย ทั้งนี้ รฟท. ได้จัดฝึกอบรมหลักสูตรการขับรถจักรให้แก่พนักงานขับรถของ LNRE เพื่อให้สามารถควบคุมขบวนรถได้อย่างปลอดภัย โดยสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (สพพ.) ของไทย รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม
นายสุรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเปิดเดินรถไฟเส้นทางกรุงเทพอภิวัฒน์-เวียงจันทน์ เชื่อมโยงเมืองหลวงของไทยและ สปป ลาว จะทำให้การเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศด้วยระบบรางมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยมีขบวนรถไฟให้บริการวันละ 4 ขบวน ประกอบด้วย ขบวนรถเร็วที่ 133 กรุงเทพอภิวัฒน์-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ขบวนรถเร็วที่ 148 เส้นทางเวียงจันทน์ (คำสะหวาด)-อุดรธานีขบวนรถเร็วที่ 147 อุดรธานี-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด)และขบวนรถเร็วที่ 134 เวียงจันทน์ (คำสะหวาด)-กรุงเทพอภิวัฒน์ โดยผู้โดยสารที่จะมา สปป.ลาวสามารถเดินทางมากับขบวนรถเร็วที่ 133 ออกจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์เวลา 20.25 น. ถึงสถานีหนองคายเวลา 07.55 น. ระยะทางประมาณ 621 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง 30นาที จากนั้นลงจากขบวนรถพร้อมกระเป๋าเดินทางและหนังสือเดินทาง (passsport) ที่มีอายุเหลืออย่างน้อย 6 เดือน หรือทำบัตรผ่านแดน เพื่อเดินไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองที่สถานีหนองคาย ซึ่งมีให้บริการ 3 ตู้ ตู้ละ 2 ช่อง และเดินผ่านด่านศุลกากร ในขณะที่ขบวนรถไฟจะตัดขบวน 4 ตู้หน้าเลื่อนไปรอด้านทิศเหนือของสถานีหนองคาย เมื่อผู้โดยสารผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรแล้ว สามารถเดินขึ้นขบวนรถไฟได้เลย โดยใช้เวลาช่วงนี้ประมาณ 40 นาที ก่อนที่ขบวนรถไฟจะออกจากสถานีหนองคายเวลา 08.35 น. ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ผ่านสถานีท่านาแล้งไปยังสถานีเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยขบวนรถไฟจะมาถึงสถานีเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ในเวลา 09.05 น. เมื่อเดินทางมาถึงสถานีเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) แล้ว ผู้โดยสารลงจากขบวนรถไฟจะถูกทางบังคับให้เดินเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งมีทั้งหมด 3 ตู้ (ตู้ละ 2 ช่อง) ประกอบด้วย
ตู้ที่ 1 (ซ้ายสุด) สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต และหนังสือเดินทางราชการ
ตู้ที่ 2 (ตรงกลาง) สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทั่วไป และบัตรผ่านแดน
ตู้ที่ 3 สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางประเทศอาเซียน (ASEAN Passport)
ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่ได้รับฟรีวีซ่าจาก สปป ลาว จะมีจุดทำ Visa on Arrival (VOA) อยู่ด้านขวามือสุดของตู้สำหรับผู้หนังสือเดินทางประเทศอาเซียน และเมื่อออกจากอาคารสถานีเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) แล้วจะพบเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วรถโดยสารด้านขวามือ มีรถโดยสารที่เข้าตัวเมืองเวียงจันทน์ จะมีออกแค่ 4 รอบ ช่วงเช้า 9.30 น. กับ 9.40 น. (รับผู้โดยสาร ขบวน133 กับส่งผู้โดยสารขบวน 148) และช่วงเย็น 18.30 น. กับ 18.45 น. (รับผู้โดยสารขบวน 147 กับส่งผู้โดยสาร 134) ค่าโดยสารผู้ใหญ่ ราคา 20,000 กีบ และเด็ก ราคา 10,000 กีบ นอกจากนี้ยังมีรถแท็กซี่และรถตู้ที่เดินทางไปยังที่ต่างๆ ในนครหลวงเวียงจันทน์ และเมืองใกล้เคียง รวมถึงสถานีรถไฟนครหลวงเวียงจันทน์ (ลาว-จีน) ที่ห่างจากสถานีเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ประมาณ 16 กิโลเมตร นอกจากนี้ ที่สถานีเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ยังมีช่องสำหรับจองตั๋วรถไฟลาว-จีน (LCR) ซึ่งมีเคาน์เตอร์ขายโดยเฉพาะด้วยด้านซ้ายมือสุดของช่องจำหน่ายตั๋วรถไฟไทย-ลาว สามารถที่จะซื้อตั๋วรถไฟได้เช่นกัน
นายสุรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขบวนรถเร็วที่ 133 เส้นทางกรุงเทพอภิวัฒน์- เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) และขบวนรถเร็วที่ 134 เวียงจันทน์ (คำสะหวาด)-กรุงเทพภิวัฒน์ ค่าตั๋วรถไฟนั่งชั้นสามพัดลม ราคา 281 บาท (152 ที่นั่ง), รถนั่งชั้นสองปรับอากาศราคา 574 บาท (64 ที่นั่ง), รถนั่งและนอนชั้นสองปรับอากาศ (30 ที่นั่ง) เตียงบนราคา 784 บาท และเตียงล่างราคา 874 บาท ส่วนขบวนรถเร็วที่ 148 เวียงจันทน์ (คำสะหวาด)-หนองคาย-อุดรธานี และขบวนรถเร็วที่ 147 อุดรธานี-หนองคาย-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) คิดอัตราพิเศษ แบ่งเป็นระยะ ดังนี้
- อุดรธานี – เวียงจันทน์ : รถพัดลม 100 บาท / รถแอร์ 200 บาท
- อุดรธานี – หนองคาย : รถพัดลม 30 บาท / รถแอร์ 80 บาท
- หนองคาย – เวียงจันทน์ : รถพัดลม 70 บาท / รถแอร์ 120 บาท
นายสุรพงษ์ กล่าวปิดท้ายว่า “การเปิดให้บริการรถไฟระหว่างประเทศในครั้งนี้ ถือเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศในการพัฒนารถไฟที่มีประสิทธิภาพ สะดวกสบาย และปลอดภัย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเดินทางและการขนส่งระหว่างกัน รวมถึงกระตุ้นการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว อันจะนำไปสู่การเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทยและลาวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น” ทั้งนี้ การเปิดให้บริการรถไฟสายนี้ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของความร่วมมือระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งชาติลาว (Lao National Railway State Enterprise: LNRE) ที่ได้ร่วมกันผลักดันโครงการพัฒนาโครงข่ายทางรถไฟเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการยกระดับการคมนาคมขนส่งทางรางในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป.-513-สำนักข่าวไทย