กรุงเทพฯ 15 พ.ค.-รองประธานกรรมการหอการค้าไทย คนที่ 1 เผยพร้อมสนับสนุน “เอฟทีเอ ไทย-อียู”ช่วยการค้า การลงทุนระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปได้มาก เจรจาสำเร็จ
ดร. พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย คนที่ 1 เปิดเผยว่า ตามที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน มีกำหนดเดินทางเยือนฝรั่งเศส-อิตาลี-ญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 15 – 24 พฤษภาคม 2567 โดยสภาหอการค้าฯ เห็นว่าเป็นโอกาสอันดีในการเจรจาเร่งรัดการจัดทำ FTA ไทย-สหภาพยุโรป (EU) ให้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหาร ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของไทย หรือ “ครัวของโลก” ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องนุ่มห่มและสิ่งทอ เคมีภัณฑ์ พลาสติก เป็นต้น ตลอดจนเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยถูกอียูตัดสิทธิพิเศษ GSP มาตั้งแต่ปี 2558 ทำให้การค้าการลงทุนของไทยในอียูตกต่ำอย่างมาก สูญเสียความสามารถในการแข่งขันทางการค้า หากการเจรจาครั้งนี้บรรลุข้อตกลงและประสบความสำเร็จ จะทำให้การค้าการลงทุนของทั้ง 2 ฝ่ายขยายตัวเพิ่มขึ้น
โดยอียูเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีกำลังซื้อสูงที่สุดในโลก ประกอบด้วย 27 ประเทศ ประชากรรวมกันกว่า 448 ล้านคน นักลงทุนไทยมีโอกาสเข้าไปลงทุนในอียูมากขึ้น อาทิ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ค้าปลีก เกษตรและอาหาร ในขณะเดียวกัน สามารถดึงดูดนักลงทุนอียูเข้ามาลงทุนในไทยได้มากขึ้น อาทิ การขนส่งทางทะเล การเงิน การประกันภัย ธุรกิจพลังงานสะอาด การศึกษา และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
“สภาหอการค้าฯ ยินดีสนับสนุน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีในการเจรจา เอฟทีเอ ไทย-อียู อย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการค้า การลงทุน ตลอดจนส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนนวัตกรรมเทคโนโลยี การวิจัยพัฒนา และการศึกษา อันเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ทั้งนี้ ในกรอบการเจรจาเอฟทีเอ ไทย-อียู มีข้อกำหนดที่ชัดเจนว่า ทั้งสองฝ่ายจะต้องเคารพในกติกาสากลเรื่องมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืนทางทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรทางทะเล รวมทั้งการปกป้อง สิทธิแรงงาน ซึ่งต้องมีการหารือร่วมกันทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม สภาหอการค้าฯ หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะให้การเจรจาประสบความสำเร็จโดยเร็ว ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดในอียู โดยประเทศไทยมีความพร้อมที่จะเปิดให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทย จึงขอเชิญชวนอียูเข้ามาลงทุนด้วยเช่นกัน” ดร.พจน์ กล่าว
นอกจากนั้น ระหว่างการเยือนอิตาลีของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และ สภาหอการค้าฯ ยังมีการจัดงาน Thai – Italian Business Forum ขึ้น ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 ณ UNIONCAMERE กรุงโรม ร่วมกับ UNIONCAMERE (หอการค้าอิตาลี) และสถานเอกอัครราชทูตอิตาลี ประจำประเทศไทย เพื่อเป็นเวทีส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่าง
ไทย-อิตาลี โดยเฉพาะในด้าน อาหาร แฟชั่น (ผ้าไหม) สินค้าไลฟ์สไตล์ (เซรามิคและเฟอร์นิเจอร์) พร้อมทั้งมีพิธีลงนาม MOU ระหว่างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกับ UNIONCAMERE เพื่อกระชับและยกระดับความร่วมมือทางการค้าระหว่างภาคเอกชนทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะการสนับสนุนช่วยเหลือ SMEs และเกษตรกรไทยอีกด้วย.-514-สำนักข่าวไทย