กรุงเทพฯ 28 ก.พ.- ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS มองโครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว และ การพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง” หนุนการพัฒนาและการลงทุนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเมินในอีก 5 ปี ( 2567-2571) คาดจะมีเม็ดเงินลงทุนราว 7.6 แสนล้านบาท แนะผู้ประกอบการคว้าโอกาสทางธุรกิจ
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ได้ให้บริการขนส่งทั้งผู้โดยสารและสินค้าเต็มรูปแบบในเส้นทางคุนหมิง-เวียงจันทน์ ซึ่งจะส่งผลบวกโดยตรงต่อการค้าการลงทุนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ที่เป็นพื้นที่เชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงเส้นทางดังกล่าว ขณะที่ภาครัฐได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยคาดว่าเม็ดเงินลงทุนในอีก 5 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ราว 7.6 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็นเม็ดเงินจากการลงทุนของภาครัฐ 6.4 แสนล้านบาท ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่ เช่น รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ และสนามบิน รวมถึงการลงทุนในการส่งเสริมการท่องเที่ยว การค้าชายแดน เมืองอัจฉริยะ นิคมอุตสาหกรรม และเขตเศรษฐกิจพิเศษ และเม็ดเงินจากการลงทุนของภาคเอกชนที่คาดว่าจะตามมาอีกอย่างน้อยราว 1.2 แสนล้านบาท
ดร.สุปรีย์ ศรีสำราญ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า จากการศึกษาและประเมินจังหวัดที่มีศักยภาพของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า 6 จังหวัด ได้แก่ อุดรธานี มุกดาหาร ขอนแก่น หนองคาย นครพนม และบึงกาฬ เป็นกลุ่มจังหวัดที่มีศักยภาพในการเติบโตจากการลงทุน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคและการค้าการลงทุนที่ขยายตัวมากขึ้นในระยะถัดไป
โดย 5 ธุรกิจเด่นที่เป็นโอกาส ได้แก่ 1. ก่อสร้าง 2. โลจิสติกส์ (Logistics) 3. ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ (Auto Dealer) 4. น้ำมันและก๊าซ (Oil & Gas) และ 5. โรงพยาบาลและการดูแลสุขภาพ (Healthcare) โดยธุรกิจเหล่านี้จะได้รับแรงขับเคลื่อนการพัฒนา 3 ด้านหลักที่จะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า ได้แก่
1. ด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมที่กำลังก่อสร้างในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ได้แก่ รถไฟทางคู่เส้นทางบ้านไผ่-นครพนม และเส้นทางขอนแก่น-หนองคาย รถไฟความเร็วสูงเส้นทางนครราชสีมา-หนองคาย สนามบินมุกดาหาร
2. ด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ โดยเฉพาะในขอนแก่น ซึ่งมีสถานพยาบาลที่มีคุณภาพการให้บริการระดับสากล รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงศรัทธา โดยเฉพาะในอุดรธานีและบึงกาฬ
และ 3. ด้านการลงทุน ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี เขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนม เมืองอัจฉริยะขอนแก่น
แนะผู้ประกอบการเตรียมความพร้อมด้านการให้บริการและบุคลากร รวมทั้งเตรียมความพร้อมในมิติที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เช่น การลดฝุ่น PM 2.5 การศึกษาแนวทางโลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) ซึ่งการเตรียมความพร้อมเหล่านี้จะทำให้เกิดการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนในอนาคต ขณะที่ภาครัฐควรเร่งขับเคลื่อนแผนการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เชื่อมโยงกับรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว รวมทั้งส่งเสริมการลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeastern Economic Corridor: NeEC) ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการค้าการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากขึ้น.-517-สำนักข่าวไทย