กรุงเทพ 15 ก.พ.-ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ชี้ทุกภาคส่วนควรทบทวนรากฐานการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน เน้นการกำกับดูแลกิจการที่ดี สื่อสารรอบด้านและสร้างความเชื่อมั่นศักยภาพของธุรกิจไทยในเวทีโลก โดยคาดว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคจะเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจในเร็วๆนี้ ซึ่งธนาคารกลางสิงคโปร์ระบุจะมีเม็ดเงินมาลงทุนมากถึง 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปีในภูมิภาคอาเซียน
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย SET ESG Academy จัดงานสัมมนา SET Sustainability Forum 1/2024: Grounding Greater Governance for Good ร่วมด้วยผู้บริหารภาคตลาดทุนทั้งไทยและต่างประเทศเพื่อตอกย้ำความสำคัญของการกำกับดูแลกิจการที่ดีอันเป็นรากฐานสำคัญต่อการพัฒนาธุรกิจและการลงทุนอย่างยั่งยืนรวมถึงความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและบรรษัทภิบาล(Environment,Social,Governance:ESG) ตลอดจนการนำข้อมูลไปใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจและการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ กรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและประธานอนุกรรมการบรรษัทภิบาลและความยั่งยืน กล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ”Grounding Greater Governance for Good ว่า ธุรกิจที่ยั่งยืนไม่ได้สร้างขึ้นด้วยเจตนาที่ดีเท่านั้น แต่ต้องขับเคลื่อนด้วยการกำกับที่ดี (Governance)ซึ่งนอกจากเรื่องการจัดการความเสี่ยงแล้ว ยังหมายรวมถึงประสิทธิภาพและความรอบคอบรัดกุมขององค์กรตลอดจนความสามารถในการแข่งขันและนวัตกรรมซึ่งเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนธุรกิจสู่เป้าหมายและสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจอย่างแท้จริง ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงใน 5 ปีหลังที่ผ่านมา เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมาก เมื่อ 10 ปีก่อน เราเคยคุยเรื่อง 5g แบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าถือเป็นความตื่นเต้น สิ่งต่างๆเหล่านี้ ภาคธุรกิจต้องเปลี่ยนผ่านเพื่อลูกค้าแต่การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก
โครงสร้างเรื่องธรรมาภิบาลกำลังจะเปลี่ยนไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อลดโลกร้อน บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ต้องปรับตัวและต้องมีการวัดเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทั้งต้องวัดให้ได้มาตรฐานเพราะจะทำให้บริษัทสามารถกู้เงินหรือรับความช่วยเหลือจากธนาคารได้ซึ่งข้อมูลจะต้องเชื่อถือได้ ทั่วโลกกำลังช่วยกันลดอุณหภูมิของโลกให้ลงมาอีก 1.5 องศาเซลเซียส ถ้าเราปรับโครงสร้างไม่ทันจะแข่งขันไม่ได้ การแข่งขันตรงนี้จะเป็นความอยู่รอดขององค์กร ถ้าไม่ปรับตัวจะหลุดจากเรดาร์การลงทุนเพราะถือเป็นความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติ
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามในมุมบวก ในอนาคตอันใกล้นี้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคจะเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญเติบโต ศูนย์กลางทางธุรกิจจะมาอยู่ที่นี่ โดยข้อมูลธนาคารกลางของสิงคโปร์ ระบุว่า จะมีเม็ดเงินมาลงทุนมากถึง 2 แสนเหรียญสหรัฐต่อปีในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ข้อมูลของธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ ADB ยังระบุด้วยว่า กระแสการลงทุนเพื่อความยั่งยืนในอาเซียนจะมีการลงทุนปีละ 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ถ้าเราไม่ปรับตัวเราจะหลุดกรอบของการลงทุนซึ่งการลงทุนในระบบธรรมาภิบาลถือเป็นเรื่องจำเป็น
คุณเฮเลน่า เฝิง Head of Sustainable Finance and Investment,London Stock Exchange Group กล่าวว่า ผู้ลงทุนทั่วโลกควรให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของธุรกิจให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการใช้ข้อมูลด้านบรรษัทภิบาลประกอบการตัดสินใจลงทุน ความโปร่งใสของการลงทุนและการเปิดเผยข้อมูล ESG ที่บริษัทควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง.-513-สำนักข่าวไทย