นายกฯ ย้ำแก้หนี้ทั้งระบบให้เสร็จภายในรัฐบาลนี้

กรุงเทพฯ 12 ก.พ.-นายกฯ ย้ำแก้หนี้ทั้งระบบ ช่วยเหลือลูกหนี้ใน-นอกระบบ ให้เสร็จสิ้นภายในรัฐบาลชุดนี้ เผยทยอยมีผลสำเร็จเจรจาแก้ไขหนี้ ส่วนหนี้นอกระบบจบหนี้แล้ว 12,000 กรณี มูลหนี้ลดลง 670 ล้านบาท วอนแบงก์ช่วยผ่อนปรนดอกเบี้ยในระบบเรื้อรัง


นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นำทีมแถลงความคืบหน้าแก้หนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ซึ่งมีทั้งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ร่วมแถลง โดยยืนยันว่า จะแก้หนี้ทั้งระบบให้เสร็จสิ้นภายในรัฐบาลชุดนี้ โดยช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาได้บูรณาการทั้งระบบในการแก้ปัญหา มีการจัดตั้งตลาดนัดแก้หนี้ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เปิดให้ลูกหนี้นอกระบบมาลงทะเบียน ประสานเจ้าหนี้ในการเข้ามาแก้ปัญหา ให้ลดดอกเบี้ยเป็นไปตามกฏหมายที่กำหนด และดำเนินคดีกับเจ้าหนี้ที่ใช้ความรุนแรงในการทวงหนี้ อย่างไรก็ตาม ยังพบว่า ลูกหนี้บางส่วนไม่ยอมมาลงทะเบียน ขอความร่วมมือในการลงทะเบียน เพื่อให้เกิดการช่วยเหลืออย่างครบวงจรเบ็ดเสร็จ

ส่วนลูกหนี้ในระบบ มีการประสานทั้งลูกหนี้ ในส่วนชาวบ้าน เกษตรกร ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ทั้ง 4 กลุ่ม พร้อมให้สหกรณ์ออมทรัพย์ ลดดอกเบี้ยเหลือไม่เกิน ร้อยละ 4.75 กำหนดนโยบายให้ลูกหนี้ที่มีเงินเดือน ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการครู ตำรวจ กำหนดแผนจะต้องมีเงินเดือนเหลือจากหักหนี้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 มีการขอให้ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ช่วยเข้ามาดูแล ผ่อนปรนดอกเบี้ย ฝึกอาชีพ เพื่อไม่ให้ลูกหนี้กลับไปเป็นหนี้เสียซ้ำอีก นับเป็นแนวทางแก้หนี้ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังขอความร่วมมือธนาคารพาณิชย์ช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้เรื้อรัง นำไปสู่อัตราการลดดอกเบี้ยในระบบให้ต่ำเหลือร้อยละ 3-5 พร้อมให้ดำเนินการหักเงินเดือนในลักษณะหักเงินต้นและดอกเบี้ยควบคู่กันไปด้วย


สำหรับการแก้หนี้นอกระบบ ตั้งแต่ 1 ธ.ค.66 ไกล่เกลี่ยสำเร็จไปแล้ว 12,000 กรณี มูลหนี้ลดลง 670 ล้านบาท จากผู้ลงทะเบียน 1.4 แสนราย หนี้รวม 9,800 ล้านบาท มีการให้ข้อมูลครบทั้งลูกหนี้-ลูกหนี้ 2.1 หมื่นราย   

สำหรับการดำเนินการช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบดำเนินการ 4 ขั้นบันได

1. ดำเนินการเชิงรุก ประชาสัมพันธ์การลงทะเบียน และเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการแก้หนี้ได้อย่างสะดวก ทาง ก.มหาดไทย ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เปิดตลาดนัดแก้หนี้ในทุกจังหวัด อย่างน้อยเดือนละ 4 หน 

2. เจ้าหน้าที่ตำรวจกวาดล้างเจ้าหนี้นอกระบบ ในส่วนที่ทวงหนี้รุนแรง ทั้งกรณีรับจำนำรถยนต์ จักรยานยนต์ที่ผิดกฎหมาย 

3. มอบ ก.คลัง โดยธนาคารออมสิน, ธ.ก.ส. ร่วมจัดหาแหล่งเงินลงทุนดอกเบี้ยต่ำ หลังการไกล่เกลี่ยหนี้ และจัดพัฒนาอาชีพ สร้างรายได้เพิ่มแก่ลูกหนี้ ซึ่งได้ย้ำว่า ขอให้ 2 แบงก์รัฐ นำเงินไปช่วยลูกหนี้ที่ยากลำบาก ดีกว่ากอดกำไรเพียงอย่างเดียว  


4. ช่วยเหลือลูกหนี้ไม่ให้กลับมาเป็นหนี้ซ้ำอีก ให้มีรายได้เพิ่ม โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมเสริมทัพ พัฒนาฝีมือแรงงานให้ สร้างรายได้เพิ่ม นับเป็นการแก้หนี้อย่างยั่งยืน

ส่วนลูกหนี้ในระบบ ได้จัดลูกหนี้ออกเป็น 4 กลุ่ม  มีความคืบหน้าตามลำดับ ได้แก่ 

1. ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โควิด-19 หรือลูกหนี้รหัส 21 ได้ช่วยเหลือ 6.3 แสนบัญชี วงเงิน 4 พันล้านบาท คาดว่าราว 3 แสนราย ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. จะมีการประสานให้ปิดหนี้ได้ปลาย ก.พ.นี้ ส่วนเอสเอ็มอี จะช่วยให้สถานะการกู้กลับมาปกติ ไม่ติดเครดิตบูโร โดยขณะนี้กำลังช่วยเหลือเอสเอ็มอีราว 1 หมื่นราย วงเงิน 5 พันล้านบาท

2. กลุ่มลูกหนี้รายได้ประจำ แต่มีหนี้เกินศักยภาพ เช่น  ข้าราชการ ครู ตำรวจ ทหาร ขอให้สหกรณ์ออมทรัพย์ฯ ลดดอกเบี้ยเหลือไม่เกินร้อยละ 4.75 ซึ่งทางกระทรวงเกษตรฯ รายงานว่ามี 80 สหกรณ์ ทยอยลดดอกเบี้ย คาดจะช่วยได้กว่า 3 พันราย กลุ่มนี้ยังเป็นลูกหนี้บัตรเครดิต 1.5 แสนบัญชี ทางออมสินกำลังเจรจากับภาครัฐ เพื่อสนับสนุนสินเชื่อสวัสดิการ

3. กลุ่มรายได้ไม่แน่นอน เร่งช่วยเกษตรกรพักชำระหนี้ 1 ปี 1.8 แสนราย มูลหนี้ 2.5 แสนล้านบาท เงินกู้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) 6 แสนราย ทำแผนช่วยลดภาระปลดหนี้ โดยสามารถลดภาระแล้วราว 3.5 ล้านราย ราว 4 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายใหม่ของ กยศ. ที่มีการคำนวณเรื่องการคืนหนี้ใหม่  

4. หนี้เสียคงค้างเป็นเวลานาน ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการกำหนดหลักเกณฑ์ร่วมทุนในการให้ธนาคารจัดตั้งบริษัทร่วมทุน เป็นบริหารสินทรัพย์ โดยธนาคารออมสิน เตรียมร่วมทุนจัดตั้งบริหารทรัพย์สิน ในไตรมาส 1/67 จะมีการโอนหนี้ขายไปยังบริษัทใหม่ และจะช่วยเหลือลูกหนี้แบบผ่อนปรนต่อไป

“2 เดือนนี้ ภาครัฐบูรณาการช่วยเหลือหนี้ทั้งระบบอย่างเต็มที่ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐ เพื่อช่วยให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากการเป็นหนี้ แต่ต้องขอความร่วมมือเจ้าหนี้-ลูกหนี้ สมัครเข้าโครงการให้ข้อมูลอย่างถูกต้อง เพื่อให้แก้ปัญหาตรงจุด โดยลงทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอ สำนักงานเขต โทร. 1567 หรือศูนย์ดำรงธรรม ขอให้อย่ารอจนเป็นหนี้เสีย ขอให้เชื่อมั่น แก้หนี้สิน จะแก้หนี้ทั้งระบบให้จบในรัฐบาลนี้ให้ได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาภาครัฐได้ร่วมมือกันแก้ปัญหาหนี้ โดยในส่วนของข้าราชการได้เจรจาให้มีการหักเงินเดือนและการชำระหนี้ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของระบบสินเชื่อสวัสดิการที่มีเงินเดือนเหลือราว 30% จึงช่วยกันไกล่เกลี่ยเจรจา ทั้งนี้ บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อแก้หนี้ ซึ่งมีแบงก์พาณิชย์บางแห่งให้ความร่วมมือที่ดี ช่วยลดดอกเบี้ยในอัตราผ่อนปรนเหลือร้อยละ 3-5 มีการชำระเงินกู้ ทั้งดอกบี้ยและเงินต้น ก็ช่วยแก้ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เป็นอย่างดี คาดหวังธนาคารพาณิชย์ที่เหลือจะให้ความร่วมมือ.-511-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

“เป๊ก ผลิตโชค” ส่อโดนแจ้ง 2 ข้อหา รอผลตรวจเลือด 7 วัน

กทม. 5 ส.ค.-“เป๊ก ผลิตโชค” ส่อโดนแจ้ง 2 ข้อหา รอผลตรวจเลือด 7 วัน พิสูจน์หาสารเสพติดในร่างกาย พลตำรวจตรี ธนันท์ธร รัตนสิทธิภาคย์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 เปิดเผยว่า ช่วงค่ำวานนี้ คนขับรถกระบะได้เข้ามาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนแล้ว โดยให้การว่า ตนกำลังจะขับรถกลับบ้าน เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ อยู่ดีๆ “เป๊ก ผลิตโชค” ก็กระโดดขึ้นมาบนฝากระโปรงรถ ตอนนั้นรู้สึกตกใจ จึงเลี้ยวรถเข้าปั๊มน้ำมัน ลงมาพูดคุยกับ “เป๊ก” จากนั้น “เป๊ก” ก็เข้ามาสวมกอด ยกมือไหว้ แล้วเบนไปหานายชุติเทพ มีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน ตนก็ขึ้นรถแล้วขับออกไป และไม่ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น จนกระทั่งมาเปิดดูข่าว ส่วนคนขับรถแท็กซี่ที่ปรากฏภาพ “เป๊ก ผลิตโชค” ขึ้นไปเกาะบนหลังคารถ ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการติดต่อเข้ามาให้ปากคำ ด้าน “เป๊ก ผลิตโชค” ยังไม่ได้เริ่มสอบปากคำ เพราะยังอยู่ในการดูแลของทีมแพทย์ ซึ่งพนักงานสอบสวน ยินดีที่จะเข้าไปสอบปากคำที่โรงพยาบาล ถ้าหากแพทย์อนุญาต หรือ “เป๊ก ผลิตโชค” […]

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

EOD เร่งกู้ระเบิดตกค้าง-พิสูจน์กลิ่นศพทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 4 ส.ค. – ตลอดทั้งวัน ชุด EOD ตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ พบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด ขณะที่กลิ่นศพทหารกัมพูชา ยังไม่ส่งผลกระทบฝั่งไทย แต่ชาวบ้านในพื้นที่ยืนยันมีกลิ่นจริง ตลอดทั้งวัน ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ EOD ของตำรวจตระเวนชายแดนที่ 21 และตำรวจภูธรพนมดงรัก รวมถึง ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ หรือ TMAC เข้าตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะใน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ หลังสถานการณ์ปะทะสงบลง โดยพบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด หัวหน้าชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดให้ข้อมูลว่า ระเบิดส่วนใหญ่ทำงานไปแล้ว เหลือเพียง 7 จุดที่ยังคงอยู่ระหว่างการเก็บกู้ แต่มีบางจุดที่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าปฏิบัติงานได้ เนื่องจากอยู่ติดแนวชายแดน และอาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับทหารทั้ง 2 ฝ่ายที่ยังคงตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ อีกทั้งสภาพพื้นที่เป็นโคลนตม ทำให้บางจุดลูกระเบิดฝังลึกมาก ทำให้การเก็บกู้ยากลำบาก จึงทำได้เพียงล้อมรั้วแสดงสัญลักษณ์ให้ทราบ เพื่อความปลอดภัยและไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้ […]