กรุงเทพฯ 23 พ.ย. – ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยผลสำรวจพฤติกรรมและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงวันลอยกระทงและทัศนะต่อสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมั่นใจหลังการแพร่เชื้อโควิดน้อยลง ประเทศเปิดเต็มที่ นักท่องเที่ยวไทยและเทศกล้าท่องเที่ยวจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ดันเงินสะพัดลอยกระทงปีนี้กว่า 10,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้นปีที่ผ่านมา 3.3% จากค่าครองชีพและสินค้ายังแพงอยู่
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจ “พฤติกรรมและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงวันลอยกระทงและทัศนะต่อสถานการณ์ปัจจุบัน” ว่า ได้ทำการสำรวจพฤติกรรมและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงวันลอยกระทงระหว่างวันที่ 14-20 พ.ย. 66 จำนวน 1,240 ตัวอย่างทั่วประเทศ พบว่าประชาชน 64.3 % มองว่าจะออกไปลอยและทำกิจกรรมอื่น และสนุกสนานมากกว่าปี 65 โดยคนส่วนใหญ่เห็นว่าขณะนี้ภาพรวมเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิดที่ผ่านมาเริ่มน้อยลง และเห็นว่าประเทศเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศมากขึ้น ทำให้คนส่วนใหญ่กล้าออกมาท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น และได้รับอนิสงค์จากมาตราการต่างๆ จากภาครัฐด้วย
อย่างไรก็ตาม ทำให้ลอยกระทงปีนี้ การใช้จ่ายตามกิจกรรมต่อคนจะเฉลี่ยอยู่ที่คนละ 1,900-2,000 บาท เพื่อมาจับจ่ายใช้สอยและท่องเที่ยวในช่วงวันลอยกระทง ส่งผลให้ปี 66 เงินสะพัดจากเทศกาลลอยกระทงจะอยู่ที่ 10,005 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 3.3% ถือว่าดีขึ้นในรอบ 8 ปี และมองว่าเศรษฐกิจไทยพ้นปากเหวแล้ว ซึ่งเศรษฐกิจไทยเริ่มที่จะกลับมาฟื้นตัว โดยคาดว่าจะฟื้นตัวเต็มที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 67
นอกจากนี้ แม้ช่วงวันลอยกระทงปีนี้จะกลับมาคึกคัก แต่คนส่วนใหญ่ยังกังวลใจเกี่ยวกับปัญหาการเจรจรติดขัด เกิดไฟไหม้ เกิดการจี้ปล้น และขอพรให้มีเงินไหลมาเทมา สุขภาพแข็งแรง อยากให้เศรษฐกิจกลับมาดีขึ้น และเร่งปราบปรามยาเสพติด และที่คนส่วนใหญ่ตอบแบบสอบถามคนข้างกังวลใจกันมากคือโครงการดิจิทัลวอลเล็ตแจกเงิน 10,000 บาท แม้คนส่วนใหญ่เห็นด้วยและพร้อมที่จะส่งทะเบียนรับเงินโครงการนี้ แต่ส่วนใหญ่เกรงว่าไม่อยากให้รัฐบาลกู้เงินมาเพราะจะเป็นภาระให้กับลูกหลานในอนาคต
ทั้งนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ยังประเมินภาพรวมเศรฐกิจไทยในปีนี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 2.4-2.5 % ต่อจีดีพี และปีหน้าจะอยู่ที่ 3-4 % ต่อจีดีพี โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว ราคาน้ำมันไม่ผันผวนมาก อัตราดอกเบี้ยไม่ปรับขึ้น โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเริ่มนำมาใช้ในช่วงกลางปี 67 และภาคการส่งออกฟื้นตัว จึงเป็นปัจจัยหนุนทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวด้วยเช่นกัน. -สำนักข่าวไทย