กรุงเทพฯ 14 พ.ย.- “พิมพ์ภัทรา” สั่ง สอน. เชิญโรงงานน้ำตาลเร่งหาแนวทางป้องกันปัญหาน้ำตาลตึงตัว ด้านแม่ค้าบ่นน้ำตาลขาดตลาดตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว
นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากที่มีกระแสข่าวถึงสถานการณ์การจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศที่ตึงตัว จึงได้สั่งการให้ สอน. เร่งหาแนวทางร่วมกับผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาล เพื่อป้องกันผลกระทบต่อประชาชนผู้บริโภค ขณะเดียวกัน ได้กำชับให้ สอน. หาแนวทางเพื่อให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม เป็นธรรม และสอดคล้องกับต้นทุนการผลิต รวมทั้งไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค
นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ รองเลขาธิการ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 ได้เชิญโรงงานน้ำตาลทั้ง 57 โรง ประชุมหารือถึงสถานการณ์การจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศ โดย สอน.ได้รับทราบปัญหาและอุปสรรคของผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลถึงสถานการณ์การจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศในปัจจุบัน และขอความร่วมมือจากโรงงานน้ำตาลในการดูแลปริมาณน้ำตาลทราย เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคในประเทศได้รับผลกระทบ สำหรับแนวทางการรักษาสมดุลให้มีปริมาณน้ำตาลทรายเพียงพอกับความต้องการภายในประเทศ สอน.ได้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ประจำโรงงานน้ำตาลทั้ง 57 โรงทั่วประเทศ รายงานปริมาณสตอกคงเหลือส่งให้ สอน. เป็นประจำทุกวัน ทั้งนี้ อาจจะมีมาตรการในการบริหารจัดการปริมาณน้ำตาลทรายสำรองสำหรับฤดูการผลิตปี 2566/67 เป็นการเฉพาะเพิ่มเติม
“โดยในฤดูปีการผลิตที่ผ่านมา ปริมาณน้ำตาลทรายที่บริโภคในประเทศ มีจำนวน 26 ล้านกระสอบ (กระสอบละ 100 กก.) และในฤดูการผลิตปี 2566/67 สอน. คาดการณ์ตัวเลขปริมาณน้ำตาลทรายที่บริโภคในประเทศ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 – กันยายน 2567 จะมีประมาณ 25 ล้านกระสอบ (กระสอบละ 100 กก.) โดยคาดว่าจะมีผลผลิตน้ำตาลทรายที่ผลิตได้อยู่ที่ประมาณ 93.32 ล้านกระสอบ (กระสอบละ 100 กก.) จากประมาณการอ้อยเข้าหีบ จำนวน 82 ล้านตัน ซึ่ง สอน.จะบริหารจัดการการจำหน่ายน้ำตาลภายในประเทศ เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าจะมีปริมาณน้ำตาลทรายเพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ” นายวิฤทธิ์ กล่าว
ฟากแม่ค้าขายอาหารที่ต้องใช้น้ำตาลเป็นวัตถุดิบหลักบ่นอุบ เพราะนอกจากน้ำตาลในตลาดจะปรับขึ้นราคาแล้ว สินค้ายังขาดตลาดด้วย เช่น แม่ค้ามะม่วงน้ำปลาหวาน บอกว่า การทำน้ำปลาหวานแต่ละรอบ ตนต้องใช้น้ำตาลประมาณ 30 กิโลกรัม เมื่อสัปดาห์ที่แล้วไปซื้อน้ำตาลที่ห้างค้าปลีกตามปกติ แต่ปรากฏว่าน้ำตาลทรายขาวแบบกระสอบละ 25 กก. เกลี้ยงเชลฟ์สินค้า ตนจึงต้องใช้น้ำตาลออร์แกนิกส์ ซึ่งมีราคาสูงกว่าน้ำตาลทรายขาวที่เคยใช้เกือบ 200 บาท/กระสอบ ทำให้กำไรรอบนี้น้อยลง ส่วนที่วันนี้ ครม.ประกาศขึ้นราคาน้ำตาลอีก 2 บาท/กก. ก็แน่นอนว่าจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น แต่ทั้งนี้ตนก็ไม่กล้าขึ้นราคา เพราะทุกวันนี้ขายมะม่วงน้ำปลาหวาน ชุดละ 50 บาท ก็ขายยากอยู่แล้ว จะลดปริมาณน้ำตาลที่ใช้ก็ทำไม่ได้ เพราะหากรสชาติเปลี่ยน ลูกค้าก็หายหมด หากแบกรับต่อไปไม่ไหวจริงๆ ก็อาจจะต้องลดปริมาณน้ำปลาหวานต่อชุดลง อย่างไรก็ดี นอกจากการแก้ไขปัญหาราคาน้ำตาลแล้ว อยากให้รัฐบาลดูแลไม่ให้สินค้าน้ำตาลขาดตลาดด้วย
ส่วนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่บ้านเกาะหมากสามัคคี ที่ผลิตกุ้งหวาน บอกว่า หากราคาน้ำตาลขึ้นสูงมากก็อาจจะต้องปรับราคาสินค้า เพราะตอนนี้น้ำตาลที่ใช้อยู่ ราคา 28 บาท/กก. หากปรับขึ้น 2 บาท ก็เท่ากับ กก.ละ 30 บาท ต้นทุนสูงขึ้นแน่นอน แต่คิดว่าน่าจะอยู่ในระยะที่รับไหว แต่หากปรับขึ้นมากกว่า 2 บาท หรือปรับขึ้นเป็น 4 บาท/กก. ก็ต้องขึ้นราคาสินค้า เช่น กุ้งหวาน ตอนนี้ขายกระปุกละ 250 บาท ก็อาจจะปรับขึ้นราคาเป็น 260 บาท.-สำนักข่าวไทย