เมืองทองธานี 2 ต.ค.- นายกรัฐมตรีกำชับส่วนราชการใช้งบปี 67 มุ่งรักษาวินัยการเงิน การคลัง ใช้งบไม่ซ้ำซ้อน ขอตัดงบที่ไม่จำเป็น มุ่งปรับเพิ่มค่าแรง 400 บาท/วัน ในช่วงแรก สำนักงบฯ แนะจัดทำงบแฝดปี 67 ควบคู่ปี 68 เร่งฟื้นเศรษฐกิจไทย
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวระหว่างมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ว่า หลังจากไทยเผชิญกับปัญหาโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ การฟื้นตัวกระจายไปไม่ทั่วถึงทุกลุ่ม มีปัญหาหนี้ครัวเรือน ยาเสพติด จากความท้าทาย รัฐบาลจะร่วมมือกับทุกส่วน และเอกชน นายกรัฐมนตรีจึงขอกำชับให้ส่วนราชการยึด 5 ข้อหลัก เพื่อเสนอแผนจัดทำงบส่งให้สำนักงบประมาณภายใน 6 ตุลาคม 67 เพื่อใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท
ประกอบด้วย 1. การจัดทำแผนใช้งบประมาณรองรับนโยบาย แถลงต่อสภา จึงต้องจัดทำงบประมาณสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล 2.ขอให้ส่วนราชการ จัดทำโครงแบบบูรณาการ ไม่ซ้ำซ้อนกันหลายหน่วยงาน เพื่อทำโครงการเดียวกัน 3.การใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ ที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ด้วยการรักษาวินัยการเงิน การคลัง 4.การจัดทำตัวชี้วัด ประเมินผลการใช้งบประมาณ ไม่ใช่ การตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ หากโครงการไม่จำเป็นขอให้ตัดออกไปก่อน 5.การใช้จ่ายทุกโครงการขอให้เน้นรักษาวินัยการเงินการคลัง ทั้งเงินงบประมาณรายจ่าย และเงินนอกงบประมาณ เพื่อจัดทำแผนใช้งบอย่างมีประสิทธิภาพ จึงขอให้ทุกหน่วยงาน ใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ระบบ AI มาช่วยทำงาน ลดปัญหาต่อรอคิวเป็นเวลานาน ขจัดเจ้าหน้าที่เรียกรับสินบนจากประชาชน การเพิ่มเทคโนโลยีบริการประชาชน มุ่งทำให้จีดีพีประเทศขยายตัวร้อยละ 5 มุ่งเป้าปรับค่าแรง 600 บาท ภายในปี 2570 เพื่อให้ทุกคนมีสวัสดิการที่ดี หากนโยบายเดิมทำดีแล้วทำต่อไป มุ่งรับฟังความเห็นประชาชชน รัฐบาลจึงมุ่งเดินหน้า 3 มาตการเร่งด่วน ด้วยการฟื้นฟูรายได้ ผ่านการอัดฉีดเงินออกสู่ระบบ ด้วยดิจิทัลวอเล็ต 5.6 แสนล้านบาท เพื่อเติมกำลังซื้อประชาชน ทำให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการฟื้นตัว การใช้จ่ายหมุนเวียนในชุมชน เพื่อให้ทุกส่วนรับประโยชน์จากการจับจ่ายใช้สอย หลังจาก ครม. ตั้งคณะกรรมการ จัดหาแหล่งเงินดิจิทัล จะเร่งจัดให้คืบหน้าโดยเร็ว ยืนยันใช้เงินดิจิทัลในเดือน ก.พ.67 แน่นอน
ด้านการท่องเที่ยว ฟื้นฟูทั้งนักท่องเที่ยวในและต่างประเทศ รัฐบาลพร้อมพิจารณายกเว้นทำวีซ่าให้กับประเทศอื่นเพิ่มเติม และหามาตรการอื่น มาช่วยพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง การออกไปโรดโชว์ชักชวนต่างชาติมาท่องเที่ยว และลงทุนในประเทศไทย ศึกษาหามาตรการลดภาระต้นทุนพลังงานเพิ่มเติม เดินหน้าเปิดลงทะเบียนการพักหนี้ เกษตรกร ระยะเวลา 3 ปี เป้าหมาย 2.7 ล้านครัวเรือน สำหรับรายย่อยมูลหนี้ไม่เกิน 3 แสนบาทต่อราย นำไปสู่การเพิ่มค่าแรง 400 บาทต่อวัน ในระยะปานกลาง มุ่งใช้ตลาดนำนวัตรกรรมเสริม เพิ่มรายได้
ในระยะยาว มุ่งสร้างรายได้ ขยายโอกาส ดูแลคุณภาพชีวีตทุกฝ่าย มุ่งสร้างรายได้มั่นคงในภาคเกษตร การเปิดการค้าระหว่างประเทศ ส่งเสริมเขตเศรษฐกิจ เมื่อพักหนี้ ใช้นโยบายการเพาะปลูก ปรับปรุงดิน เกษตรแม่นยำ เป้าหมาย ทำให้เกษตรการเพิ่ม 3 เท่าภายใน 4 ปี ต้องดูอุปทาน อุปสงค์ให้เหมาะสม ดูต้นทุน ราคา จัดทำองค์ความรู้อย่างเป็นระบบ การส่งเสริมเกษตรล่วงหน้า ทำให้ภาคเกษตรได้ผล จากการขายผลผลิต การส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียว สตาร์ทอัพของไทย เพื่อหาแมทชิ่งฟันด์มาช่วยเติมทุนให้กับเอสเเอ็มอี สตาร์ทอัพ ให้มีแหล่งทุนหมุนเวียนเติบโตเป็นยูนิคอร์ได้ในอนาคต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้เอกชนไทยเติบโตในเวลาทีโลก เดินหน้าเจรจาเอฟทีเอ เพราะหลายประเทศสนใจเข้ามาขยายการลงทุน รัฐบาลจึงเร่งเจรจาเอฟทีเอ ทั้งกลุ่มอียู ตะวันออกกลาง รองรับการค้าต่างประเทศ เปลี่ยนวิธีการฑูตเชิงรุก เพื่อประกาศว่า “ประเทศไทยเปิดแล้ว” ยึดขั้วอำนาจเป็นกลางกับประเทศมหาอำนาจในเวทีโลก
ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบน้ำ ราง อากาศ ทำอย่างมียุทธศาสตร์ เช่น สนามบิน เป็นหน้าด้านการท่องเที่ยว ขยายรองรับนักท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองรอง มุ่งส่งเสริมท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ควบคู่กับการพัฒนาระบบราง รถไฟส่งสินค้ากระจายไปทั่วภูมิภาค มุ่งลดภาระต้นทุน มุ่งพัฒนาที่ดินทำกินให้รายย่อยมีสิทธิ์ทำกิน มีเอกสารสิทธิ์ครอบครอง ผ่านกองทัพที่ครอบครองอยู่ การมุ่งเน้นการศึกษา ส่งเสริมการรักการอ่าน ปรับหลักสูตรให้ทันสมัย ส่งเสริม ซอร์ฟเพาเวอร์ ผลักดันเศรษฐกิจไทย จากนั้นจะทำให้ไทยมีศักยภาพปรับค่าแรง 600 บาทต่อวัน ปรับเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาทต่อเดือน การจัดการปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง จัดการกับผู้มีอิทธิพล ตั้งรางวัลผู้ให้เบาะแส ขอให้ทุกหน่วยงานช่วยป้องกันภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ดูแลให้ทั่วถึง หลายโครงการอยู่ภายใต้แผนบูรณาการ ไม่ท่ว ไม่แล้ง โดยใช้ฝายกั้นน้ำ ธนาคารน้ำใต้ดิน เดินหน้าแก้ปัญหาฝุ่่ย MP 2.5 การเดินหน้าลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาโลกร้อนในปี 2593 การใช้ดิจิทัลดูแลรักษาสุขภาพ เชื่อมต่อฐานข้อมูล รักษาพยาบาลใกล้บ้าน ทุกโคงการล้วนต้องใช้งบประมาณขับเคลื่อน จึงต้องร่วมกันบริหารการใช้งบอย่างมีประสิทธิภาพ
นายเฉลิมพล เพ็ญสูตร ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า กรอบงบประมาณรายจ่ายปี 67 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท คาดการณ์รายได้ 2.78 ล้านล้านบาท งบขาดดุล 6.9 แสนล้านบาท จึงขอให้ส่วนราชการยึดหลัก สนองนโยบายรัฐบาล ทั้งระยะสั้น ระยะปานกลาง ระยะยาว การสร้างรายได้ ผ่านหลักการ “ตลาดนำ นวัตกรรเสริม เพิ่มรายได้” สำนักงบประมาณจะปรับงบให้สอดคล้องนโยบายรัฐ ขณะนี้ยอดคำของบประมาณ 5.3 ล้านล้านบาท สูงกว่าที่รัฐบาลตั้งไว้ ในกรอบงบ 3.48 ล้านล้านบาท สำนักงบประมาณจึงต้องตัดงบอีกเยอะมากกว่า 2 ล้านล้านบาท ยอมรับว่างบลงทุนปี 67 จะออกสู่ระบบได้ในช่วงเดือนเมษายน 67 หากมั่นใจขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้างได้สำเร็จ ให้เร่งเสนอแผนลงทุน จึงขอให้ส่วนราชการเตรียมพร้อม เพื่อเบิกจ่ายงบลงทุนออกสู่ระบบโดยเร็วที่สุด
ในวันพรุ่งนี้ (3 ต.ค.) สำนักงบประมาณ เตรียมเสนอที่ประชุม ครม.พิจารณาการจัดทำงบประมาณแบบผูกพันของปี 66 มูลค่าเกินกว่า 1,000 ล้านบาท ประมาณ 40 โครงการ เพื่อพร้อมขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง แผนการลงทุน เมื่อได้รับการอนุมัติงบประมาณ จะได้เร่งรัดเงินลงทุนออกสู่ระบบ สำนักงบประมาณ ยังขอให้ทุกส่วนราชการจัดทำแผนงบประมาณรายจ่ายปี 67 ควบคู่กับไปงบประมาณปี 68 เนื่องจากกรอบงบปี 67 ล่าช้าไปมาก เมื่อถึงเดือนตุลาคม ของทุกปี ทุกส่วนราชการ ต้องจัดทำแผนงบประมาณรายจ่ายในปีถัดไป ในช่วงนี้ จึงขอให้เตรียมจัดทำงบรายจ่ายปี 68 โดยเฉพาะการจัดทำงบประมาณฐานศูนย์ เพื่อประเมินความสำเร็จโครงการลงทุน .-สำนักข่าวไทย