ขึ้นแน่! ค่าแรงขั้นต่ำ รมว.แรงงาน ถกเอกชน ก่อนชง ครม.

กรุงเทพฯ 15 ก.ย.- รมว.แรงงาน ถก ส.อ.ท. หารือแนวทางปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ก่อนเสนอ ครม. 25 ก.ย.นี้ เพื่อให้อนุมัติภายใน พ.ย. เป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย ขณะที่เอกชนเสนอปรับไทยเป็นประเทศ ODM แทน OEM และใช้เทคโนโลยีดิจิทัล แทนแรงงาน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นำทีมผู้บริหารกระทรวงแรงงาน หารือนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และคณะกรรมการ ส.อ.ท. เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ณ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย


นายพิพัฒน์ กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน มีบทบาทหน้าที่หลักในการพัฒนาศักยภาพแรงงานและผู้ประกอบการให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน นอกจากนี้ยังมีการคุ้มครองและเสริมสร้างหลักประกันในการทำงาน และคุณภาพชีวิตที่ดี การบริหารจัดการด้านแรงงานระหว่างประเทศ การพัฒนากลไกในการสร้างความสมดุลของตลาดแรงงาน การบริหารจัดการองค์กร บุคลากร และเสริมสร้างการมีส่วนร่วมในองค์กร รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีและสารสนเทศ เพื่อบูรณาการสารสนเทศที่ทันสมัย และมีเสถียรภาพ

“ภายหลังที่ได้มีการแถลงนโยบายตอนช่วงหาเสียง วันนี้กระทรวงแรงงานได้เดินทางมาที่ ส.อ.ท. เนื่องจาก ส.อ.ท. เป็นตัวแทนภาคเอกชนที่มีความเข้าใจในปัญหาแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับภาคอุตสาหกรรม และวันนี้เราต้องการมาเพื่อรับทราบความคิดเห็น และอยากหารือเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ เพราะขณะนี้ทุกภาคส่วนมีความกังวล โดยจะนำข้อเสนอที่ได้รับในวันนี้ไปหารือต่อ เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด โดยไม่กระทบต่อนายจ้างและลูกจ้างสามารถยอมรับได้” นายพิพัฒน์ กล่าว


นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท. ขอขอบคุณทางกระทรวงที่เห็นความสำคัญของภาคเอกชน และยินดีร่วมมือกันเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างทั่วถึงและยั่งยืน โดยนายเกรียงไกรได้นำเสนอยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ส.อ.ท. ที่มีการขับเคลื่อนทั้งอุตสาหกรรมเดิม (First Industries) ในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และอุตสาหกรรมใหม่หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-GEN Industries) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมไทย เพื่อประเทศไทยที่เข้มแข็งกว่าเดิม

ปัจจุบันอุตสาหกรรมกำลังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ภูมิรัฐศาสตร์ และต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคดิจิทัล โดยเราได้ทำการวิเคราะห์และพบว่าการจะทำให้อุตสาหกรรมอยู่รอด สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ 1) เปลี่ยนจาก Original Equipment Manufacturer-OEM (ผู้รับจ้างผลิต) เป็น Original Design Manufacturer-ODM (ผู้รับจ้างที่ออกแบบและผลิตสินค้าให้กับบริษัท) และ Original Brand Manufacturer-OBM (ผู้ผลิตภายใต้รูปแบบและตราสินค้าของตนเอง) 2) เปลี่ยนจากใช้แรงงานเป็นใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เครื่องจักร และระบบ Automation 3) เปลี่ยนจากผลิตเพื่อกำไร เป็นการผลิตควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม และ 4) เปลี่ยนจากแรงงานไม่มีฝีมือ (Unskilled labor) เป็นแรงงานที่มีฝีมือขั้นสูง (High-skilled labor) ผ่านการเสริมสร้างทักษะ

“อย่างที่เราทราบกัน ประสิทธิภาพแรงงานไทยในกลุ่มอาเซียน ยังไม่สามารถเทียบเท่าเวียดนามและอินโดนีเซียได้ เนื่องจากยังไม่สามารถฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 ได้เต็มที่นัก ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องรีบเร่งเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานไทย เพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆ ได้ เราต้องทำงานเป็นปาท่องโก๋กัน เพราะอุตสาหกรรมจะเติบโตได้ ต้องมีกระทรวงแรงงานคอยสนับสนุน” นายเกรียงไกร กล่าว


นายสุชาติ จันทรานาคราช รองประธาน ส.อ.ท. และประธานสายงานแรงงาน ได้กล่าวถึงข้อเสนอด้านแรงงานที่ต้องการให้กระทรวงแรงงานช่วยผลักดัน ประกอบด้วย 8 ประเด็นหลักๆ คือ

1.เพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของไทยกับประเทศคู่แข่ง และผลักดันประเด็นผลิตภาพแรงงานเป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งต้องมีการพัฒนาทักษะให้ตรงความต้องการของผู้ประกอบการและตลาดแรงงาน เพื่อสอดรับเศรษฐกิจยุคใหม่ โดยภาครัฐควรมีการสนับสนุนงบประมาณ และประสานความร่วมมือภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคเอกชน ภาคการศึกษา จัดทำหลักสูตรการเรียนการสอน สนองความต้องการตลาดแรงงาน (STEM)
2.ส่งเสริมและพัฒนา SMEs ในการนำระบบ Automation มาปรับใช้ โดยภาครัฐควรมีนโยบายและจัดสรรงบประมาณมาใช้ในระบบบริหารจัดการและการผลิตให้มีประสิทธิภาพ เพื่อทดแทนกำลังแรงงานที่ขาดแคลน และสร้างความสามารถในการแข่งขัน
3.จัดทำฐานข้อมูล (Big Data) ที่ทันสมัย ถูกต้องแม่นยำและครบถ้วน เพื่อบริหารจัดการอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ด้านแรงงาน แก้ไขปัญหาการทำงานไม่ตรงกับทักษะ (Mismatching) และการขาดแคลนแรงงาน โดยมีหน่วยงานเฉพาะกิจมารับผิดชอบ เพื่อวางแผน รวบรวม ประมวลข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแรงงาน เพื่อใช้ในการพัฒนากำลังคน สร้างความสมดุลด้านกำลังแรงงาน
4.กระชับความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน ในการผลิตบุคลากรตามความต้องการของตลาดแรงงาน (STEM) ให้มีปริมาณและคุณภาพที่เพียงพอ
5.แก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานต่างด้าว โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและจ้างงานแรงงานต่างด้าวให้มีประสิทธิภาพ ลดขั้นตอน และค่าใช้จ่าย เพื่อลดภาระผู้ประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้าว นอกจากนี้ ควรมีการจัดทำยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวระยะยาว เช่น เจรจากับประเทศต้นทางในการปรับปรุงบันทึกข้อตกลงฯ หรือ MOU ที่ไทยทำกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสนองความต้องการของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมไทย
6.แก้ไขปัญหาประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยภาครัฐควรออกมาตรการจูงใจผู้ประกอบการ ส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงวัย ลดการขาดแคลนแรงงาน ลดปัญหาครอบครัวและสังคม เช่น ส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงวัยที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญ ออกมาตรการลดหย่อนภาษี และมาตรการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยหารือกับทุกภาคส่วน เพื่อพัฒนาทักษะผู้สูงอายุทั้งด้าน Upskill และ Reskill รวมทั้งส่งเสริมผู้สูงอายุปรับตัวตามตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป
7.เพิ่มรายได้ให้กับแรงงาน สนับสนุน ส่งเสริมให้จ่ายค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน (Pay by Skills) เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับนายจ้าง และสามารถลดต้นทุนต่อหน่วย ปรับปรุงระบบสวัสดิการแรงงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน เช่น ลดค่าสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของครัวเรือน ค่าเล่าเรียนบุตร เป็นต้น เพื่อลดภาระให้กับแรงงานและสามารถดำรงชีพได้
8.ออกนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง

“การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ควรเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคีแต่ละจังหวัดเป็นผู้พิจารณาให้สอดคล้องกับปัจจัยทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ อัตราการเจริญเติบโตของ GDPs ความเดือดร้อนของลูกจ้าง ความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง และผลิตภาพแรงงาน ให้ปราศจากการแทรกแซงจากหน่วยงานภายนอก การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เราจะไม่ได้มีการจ่ายแบบเหมารวม แต่เราจะจ่ายตามทักษะ หรือที่เรียกว่า Pay by Skills เพราะหากจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำแก่แรงงานที่ไม่มีประสบการณ์ ก็จะสร้างความไม่ยุติธรรมต่อแรงงานที่มีประสบการณ์” นายพิพัฒน์ กล่าว

ภายหลังจากการหารือ กระทรวงแรงงานให้ความมั่นใจว่า การปรับค่าแรงขั้นต่ำ จะต้องเกิดขึ้นแน่นอนภายในปี 2567 โดยจะมีการหารือในรายละเอียดทั้งในส่วนของแรงงานไทยและแรงงานเพื่อนบ้าน เพื่อเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันที่ 25 กันยายนนี้ เพื่อหาข้อสรุปและประกาศออกมาภายในเดือนพฤศจิกายน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

“ภูมิธรรม” อุบตอบรายละเอียดถก GBC บอกทิศทางดี

ทำเนียบรัฐบาล 6 ส.ค.- “ภูมิธรรม” อุบตอบรายละเอียดถก GBC ไทย-กัมพูชา ขอพูดทีเดียวหลังเจรจา บอกทิศทางดี ด้าน “บิ๊กเล็ก” หวังพรุ่งนี้มีข่าวดี มั่นใจ 90% ยอมรับกังวลบ้าง แต่มีผู้สังเกตการณ์ประเทศอื่น เขมรคงไม่กล้า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และคณะรัฐมนตรีชุดเล็ก ว่า ที่ประชุมวันนี้ได้รับฟังข้อมูลจากคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ฝ่ายเลขานุการ รายงานผลการหารือ ในช่วงวันที่ 4-6 สิงหาคม จากการพูดคุยมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี โดยจะแถลงรายละเอียดเมื่อมีการหารือเสร็จสิ้นในช่วงบ่ายของวันพรุ่งนี้ (7 ส.ค.68) ซึ่งการเจรจาในวันพรุ่งนี้ได้ให้แนวทาง พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อเข้าร่วมการประชุม เพื่อให้ได้ข้อยุติอย่างดีที่สุด พร้อมยืนยันว่าในการหารือครั้งนี้จะไม่มีการพูดคุยถึงเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ยังไม่สามารถตอบได้ ด้านพลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยภายหลังการประขุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ว่า มีความมั่นใจ […]

ศบ.ทก. เผย GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย จ่อชง สมช.-ครม.นัดพิเศษ

ทำเนียบ 6 ส.ค.- ศบ.ทก. เผยข่าวดี ที่ประชุม GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย พร้อมเตรียมเสนอให้ สมช. – ครม. นัดพิเศษ พิจารณาเย็นนี้ ก่อน รมช.กห. เดินทางร่วมลงนามพรุ่งนี้ ด้าน กต. เตรียมประชุมทูตทั่วโลก เพื่อชี้แจงสถานการณ์ให้นานาชาติเข้าใจ หลังพาองค์การระหว่างประเทศเยี่ยม 18 เชลยศึก ขณะที่ผ่อนปรนให้โดรนเพื่อการเกษตรบินได้หลัง 15 ส.ค.นี้ พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทบ.) และนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมกับนางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ภายหลังจากการประชุมความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือตรีสุรสันต์ แถลงว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในส่วนของความมั่นคงในห้วงที่ผ่านมา สถานการณ์โดยทั่วไปอยู่ในสภาวะปกติ มีการเสริมที่มั่นทางทหารในพื้นที่บางส่วน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีการเสริมกำลังทหารแต่อย่างใด ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเช่นเดียวกันก็มีการตรวจพบว่ามีการใช้โดรนเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในสถานการณ์ไทยห้ามบินโดรนทั่วประเทศ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงยังเข้มงวดในการสกัดกั้น ตรวจตรา ตรวจสอบ รวมทั้งดำเนินการตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 15 […]

กกพ.จี้ MEA แจงปัญหาไฟดับ

กรุงเทพฯ 6 ส.ค. – สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จี้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) แจ้งปัญหาไฟดับเป็นบริเวณกว้าง ด้านประชาชนแห่คอมเมนต์ผลกระทบและต้องการเห็นการชดเชย จากปัญหาความเดือดร้อนคนกรุงเทพฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา (5 ส.ค.) เวลา 22.12 น. เกิดไฟดับเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ย่านสะพานควาย เขตพญาไท ถ.ประดิพัทธ์ และ ถ.พระรามที่ 6 และ MEA แก้ไขจนจ่ายครบเวลา 23.50 น. ทางสำนักงาน กกพ.แจ้งว่าได้ประสานให้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) รายงานข้อเท็จจริง และแนวทางการแก้ไขและป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก ในขณะที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบต่างระบุเดือดร้อนจากเหตุไฟดับ ต้องการให้ MEA ชี้แจงสาเหตุที่ชัดเจน บางส่วนก็ชื่นชม แก้ปัญหาได้รวดเร็ว บางส่วนก็ต้องการเห็น การชดเชยจาก MEA เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยไฟดับทั้งอาคาร ดับทั้งไฟสาธารณะ ไฟจราจร สัญญาณอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้ MEA ชี้แจงเบื้องต้นสาเหตุเกิดจากความขัดข้องทางเทคนิคของอุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้าย่อย ในระหว่างการเตรียมการเพื่อปฏิบัติงานปรับปรุงระบบจ่ายไฟฟ้าตามปกติ, ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ สาเหตุที่แท้จริงของอุปกรณ์ขัดข้องจะชี้แจงต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า […]

ตำรวจเตรียมสอบเชิงลึกชาย BHQ หวั่นเป็นไส้ศึก

บุรีรัมย์ 6 ส.ค.-ตำรวจสอบปากคำชายชาวกัมพูชา พบใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ อ้างเคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อคำให้การ เกรงแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับ กรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จังหวัดบุรีรัมย์ จับกุมชายชาวกัมพูชา ได้ที่บ้านพักภรรยาคนไทยและมีเครื่องแบบทหารพร้อมตราสัญลักษณ์ BHQ จากการสอบปากคำ เคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว มาทำงานอยู่ไทย แล้วถูกสวมชื่อ จากการตรวจสอบพบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ ซึ่งแต่ละชื่อไม่ตรงกัน และอ้างว่าเมื่อก่อนเข้ามาอย่างถูกต้อง แต่ล่าสุดมีการลักลอบเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติทาง จ.สระแก้ว โดยอ้างว่าจ่ายเงินบุคคลที่พาเข้า 4,000 บาท แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงว่าอาจจะแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับคอยส่งข้อมูลความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความมั่นคงของไทย ไปให้ฝั่งกัมพูชา จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์พบมีรูปถ่ายกายแต่งกายทหารและถือปืน เบื้องต้นทางตำรวจจะดำเนินคดีมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต.-สำนักข่าวไทย