ธุรกิจประกันชีวิตครึ่งแรกปี 66 เบี้ยรับรวมโตร้อยละ 3.78

กรุงเทพฯ 31 ก.ค. – นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เผยตัวเลขครึ่งแรกปี 2566 เบี้ยประกันภัยรับรวมโตร้อยละ 3.78 หรือมีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 300,005 ล้านบาท โดยคาดการณ์ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตปี 2566 จะมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 612,500-623,500 ล้านบาท เติบโตอยู่ในช่วงร้อยละ 0-2 ด้วยอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ประมาณร้อยละ 81-82


นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เผยภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตในช่วงครึ่งแรกปี 2566 ระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 300,005 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.78 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2565 โดยจำแนกเป็น เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ 86,802 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.93 และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป 213,203 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.82 โดยมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ร้อยละ 82
 
สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ ประกอบด้วย
1.) เบี้ยประกันภัยรับปีแรก 56,456 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.44
2.) เบี้ยประกันภัยจ่ายครั้งเดียว 30,346 ล้านบาท เติบโตลดลงร้อยละ 0.03

และหากจำแนกเบี้ยประกันภัยรับรวมแยกตามช่องทางการจำหน่ายจะปรากฏ ดังนี้


  1. การขายผ่านช่องทางตัวแทนประกันชีวิต (Agency) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 152,506 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.23 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 50.83
  2. การขายผ่านช่องทางธนาคาร (Bancassurance) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 117,482 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.43 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 39.16
  3. การขายผ่านช่องทางนายหน้าประกันชีวิต (Broker) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 16,642 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.17 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.55
  4. การขายผ่านช่องทางการตลาดแบบตรง (Direct marketing) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 6,859 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลงร้อยละ 2.02 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.29
  5. การขายผ่านช่องทางดิจิทัล (Digital) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 482 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.64 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.16
  6. การขายผ่านช่องทางอื่น (Others) เช่น การขาย Worksite, การขายผ่านการออกบูธ, การขายผ่านร้านค้าสะดวกซื้อ เป็นต้น มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 6,035 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.23 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.01
     
    ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ได้รับความนิยมในช่วงครึ่งแรกปี 2566 และมีอัตราการเติบโตมากขึ้น ได้แก่ สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพและคุ้มครองโรคร้ายแรง ที่เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.34 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.01 ซึ่งหลักๆ มาจากการที่ประชาชนเริ่มให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น อันเนื่องมาจากค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี จึงทำให้สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพและคุ้มครองโรคร้ายแรงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ประชาชนให้ความสนใจ รวมถึงแบบประกันบำนาญ ที่เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.84 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.71 ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากสังคมสูงวัย (Aged Society) และมาจากค่านิยมของการแต่งงานช้า มีบุตรน้อยลง ทำให้คนทั่วไปเริ่มตระหนักถึงการออมเงินไว้สำหรับดูแลตัวเองในช่วงหลังเกษียณมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงเป็นปัจจัยเร่งสำคัญที่ทำให้ภาคธุรกิจ รวมถึงแต่ละบริษัทประกันชีวิต จะต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และสามารถตอบโจทย์บนความต้องการและไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลมากยิ่งขึ้น

    ขณะที่ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit-Linked+Universal Life) เติบโตลดลงร้อยละ 13.24 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 17,201 ล้านบาท และมีสัดส่วนเมื่อเทียบเบี้ยรับรวมทั้งหมดร้อยละ 5.73 ซึ่งมาจากความไม่แน่นอนของทิศทางเศรษฐกิจโลกและภายในประเทศ รวมถึงความผันผวนของอัตราผลตอบแทนและภาวะอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถรับความผันผวนจากการลงทุน จึงทำให้ชะลอการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุนออกไปก่อน

    นอกจากนี้ ทิศทางภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 มีปัจจัยส่งเสริมที่ทำให้ภาคธุรกิจประกันชีวิตมีอัตราการเติบโตเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี โดยคาดการณ์ว่า ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตปี 2566 จะมีเบี้ยประกันภัยรับรวมประมาณ 612,500-623,500 ล้านบาท เติบโตอยู่ในช่วงระหว่างร้อยละ 0 ถึง 2 ด้วยอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ประมาณร้อยละ 81 ถึง 82 มีปัจจัยบวกที่จะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ คือ ประชาชนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันชีวิตและสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพหรือโรคร้ายแรงมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะมาจากแนวโน้มค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้น ยังมาจากความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ เช่น Covid-19 และมาจากภาคธุรกิจที่ออกนโยบายและมีการบังคับใช้แบบมาตรฐานใหม่ของสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ (New Health Standard) ที่มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อให้ประชาชนสามารถเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์และเลือกความคุ้มครองได้ตามที่ต้องการได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ประชาชนเริ่มตระหนักในการทำประกันชีวิตแบบบำนาญ (Pension) มากขึ้น จากการที่ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัย

    รวมถึงที่ทางภาครัฐให้การสนับสนุนเรื่องมาตรการลดหย่อนภาษีของประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และประกันบำนาญ และมีมาตรการผ่อนคลายการกำกับดูแลให้เป็น Principle-Base มากขึ้น โดยกรอบแนวปฏิบัติสามารถปรับได้ตามความเหมาะสมกับสภาวะตลาดในปัจจุบัน เพื่อให้ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตยังสามารถเติบโตได้ แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะวิกฤต นอกจากนี้ ภาคธุรกิจได้มีการส่งเสริมให้บริษัทประกันชีวิตมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและขีดความสามารถทางการแข่งขันให้มากขึ้น


    อย่างไรก็ตาม ธุรกิจประกันชีวิตยังคงต้องติดตามปัจจัยท้าทายต่างๆ อย่างใกล้ชิด อาทิ ความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลต่อระดับอัตราดอกเบี้ย (Yield Curve) ที่ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีทิศทางที่ปรับสูงขึ้น แต่ยังต้องมีความระมัดระวังในการเลือกลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภท สงครามการค้าและความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อหรืออำนาจซื้อของประชาชน ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองทั้งในและต่างประเทศที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่สามารถสร้างผลกระทบและมีผลต่อเสถียรภาพของระบบการประกันชีวิตและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค นอกจากนี้ยังรวมถึงการเริ่มใช้กฎระเบียบและมาตรฐานสากลใหม่ เช่น มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 17 (TFRS 17) การปฏิบัติตามกฎหมายป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐอเมริกา (FATCA) มาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชีทางการเงินแบบอัตโนมัติ (CRS) และการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่ส่งผลให้แต่ละบริษัทประกันชีวิตจะต้องปรับการดำเนินงานให้สอดคล้องกับหลักการใหม่ดังกล่าว ซึ่งต้องใช้ทั้งงบประมาณ เวลา และบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจ

    ทั้งนี้ สมาคมประกันชีวิตไทยจึงมีแผนดำเนินงานเพื่อเตรียมพร้อมรับมือต่อปัจจัยท้าทายรอบด้าน โดยนำแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (ESG) เพื่อประกอบการพิจารณาลงทุนและดำเนินงาน ซึ่งให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจที่คำนึงถึงความรับผิดชอบ 3 ด้าน คือ สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และการกำกับดูแล (Governance) มาประยุกต์ใช้เพื่อธุรกิจประกันชีวิตไทยมีความยั่งยืน การส่งเสริมให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตรูปแบบใหม่ รวมถึงการสนับสนุนให้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้พัฒนากระบวนการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการนำเสนอขาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและยกระดับในการสร้างความพึงพอใจและความเชื่อมั่นของผู้เอาประกันภัยให้มากขึ้น การสร้างองค์ความรู้เรื่องการป้องกันและรู้เท่าทันเทคโนโลยีให้แก่ประชาชน รวมถึงการดำเนินงานเชิงรุกในการขอปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้เป็นปัจจุบัน ผลักดันระบบการจัดสอบความรู้ ระบบออกใบอนุญาตในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมไปถึงการประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อให้บริษัทสมาชิกและบุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างยั่งยืน มีการแข่งขันอย่างเสรี ภายใต้ธรรมาภิบาลและการดูแลของหน่วยงานกำกับ

    นอกจากนี้ สมาคมประกันชีวิตไทย มีนโยบายที่มุ่งให้แต่ละบริษัทประกันชีวิตจะต้องมีการดำเนินธุรกิจด้วยการบริหารจัดการความเสี่ยงรอบด้าน ทั้งก่อนและหลังการรับประกันภัย และมีฐานะทางการเงินที่มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนตามความเสี่ยง (CAR Ratio) สูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ที่กำหนด (Supervisory CAR) เพียงพอต่อการปฏิบัติตามภาระผูกพันของกรมธรรม์ประกันภัยทุกกรมธรรม์ที่ออกให้แก่ผู้เอาประกันภัย และพร้อมที่จะให้ความคุ้มครองแก่ผู้เอาประกันภัย จนกว่าจะครบกำหนดสัญญา ดังจะเห็นได้จากในไตรมาสที่ 1/2566 จากข้อมูลบนเว็บไซต์ของสำนักงาน คปภ. ภาคธุรกิจประกันชีวิตมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนตามความเสี่ยง อยู่ที่ร้อยละ 385 ซึ่งสูงกว่าอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนที่ใช้ในการกำกับ (Supervisory CAR) จึงขอให้ผู้เอาประกันภัยทุกท่านเชื่อมั่นว่า ธุรกิจประกันชีวิตมีความมั่นคง แข็งแกร่ง และยึดมั่นคำสัญญาตามข้อผูกพันในกรมธรรม์ประกันชีวิตทุกกรมธรรม์ที่ออกให้แก่ผู้เอาประกันภัย. – สำนักข่าวไทย



    ดูข่าวเพิ่มเติม

    Top Viewed • อ่านมากสุด

    ดูทั้งหมด

    ธปท.ย้ำเร่งปลดล็อกบัญชีผู้บริสุทธิ์ ทำให้ร้านค้ามั่นใจ

    กรุงเทพฯ 15 ก.ย. – ธปท. ย้ำทุกหน่วยงานร่วมกำหนดเงื่อนไขปลดล็อกบัญชีไม่มีเอี่ยวบัญชีม้า สิ้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อให้ร้านค้ามั่นใจรับโอนเงินซื้อสินค้า นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบชำระเงินฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากปัญหาชาวบ้านถูกระงับธุรกรรมและระงับวงเงิน แต่ไม่ได้ระงับเงินในบัญชีในช่วงเดือนกันยายน 68 ตรวจพบบัญชีต้องสงสัยเฉลี่ย 10,000 บัญชี/สัปดาห์ ยอมรับว่าการคุมเข้มในช่วงที่ผ่านมา เพื่อต้องการกวาดเอาเส้นทางบัญชีที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ทั้งโอนเงินผ่าน e-money และคริบโตฯ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบในบางส่วน ในการทำธุรกรรมทางการเงิน ธปท. จึงเร่งหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดเงื่อนไขร่วมกันให้เสร็จภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ “ธปท., ธนาคาร, ตำรวจ ศปอท. พร้อมปลดล็อกให้กับผู้บริสุทธิ์ มุ่งเน้นบัญชีจำนวนไม่มาก เช่นวงเงิน 100-500 บาท หรือร้านค้า ที่มีการซื้อของมาประกอบอาหารหรือสินค้าในร้านเป็นประจำในยอดที่ไม่สูงมากนัก กลุ่มเหล่านี้จะเร่งตรวจสอบ เพื่อแจ้งข้อมูลให้ลูกค้าบัญชีรับทราบ พร้อมทำอย่างรวดเร็ว และมุ่งทำความเข้าใจกับร้านค้า ให้เกิดความเชื่อมั่น และรับเงินโอนจากลูกค้า เพราะที่ผ่านมายอดปฏิเสธรับโอนเงินไม่สูงมากนัก หากตรวจสอบเสร็จแล้วคาดว่าใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ถึง 1 […]

    ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ”

    กทม. 15 ก.ย.-ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ” หลังครบ 5 วันกักโรค และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำเรื่องขอเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ที่เรือนจำกลางคลองเปรม หลังครบ 5 วัน การกักตัวเฝ้าระวังโรคโควิด-19 และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติตามรายชื่อ 10 คน และทนายความ เข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก โดยก่อนหน้านี้ พันตำรวจโท เชน กาญจนาปัจจ์ โฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่าอาการของนายทักษิณ โดยรวมดีขึ้น ความดันสูงก่อนหน้านี้ลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งการเข้าเยี่ยมจะเป็นการพูดคุยผ่านกระจกใส เพื่อความปลอดภัย ล่าสุด ครอบครัวชินวัตรเดินทางมาถึงเรือนจำคลองเปรมแล้ว นำโดยคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์, น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ลูกสาวคนโต และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี.-สำนักข่าวไทย

    “บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุม เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน

    บช.ก. 15 ก.ย. – “บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุมธานี เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน ฝากให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหาย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกระแสข่าวพระวัดดังจังหวัดปทุมธานี ที่มีความเกี่ยวข้องกับเงินวัดจำนวน 12.2 ล้านบาท ที่โอนเข้าบัญชีสีการายหนึ่ง ว่า เรื่องนี้ทราบว่ามีคนแจ้งความและเป็นคดีความอยู่ที่กองบังคับการปราบปรามแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ และได้ข้อมูลที่น่าสนใจมากพอสมควร ซึ่งสีกาคนดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับสีกาที่ทางตำรวจเพ่งเล็งอยู่หรือไม่จะต้องตรวจสอบในประเด็นนี้ด้วย แต่คดีนี้หลักๆ จะดูที่เส้นทางการเงินของบัญชีวัด หากพบใครเกี่ยวข้องก็จะต้องดำเนินการ ส่วนกรณีที่ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม นำหลักฐานออกมาโพสต์ผ่านโซเชียลนั้น ก็ถือว่ามีประโยชน์ต่อรูปคดี ส่วนจะเรียกเข้าสอบหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวน ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานเรื่องนี้จะชัดเจน มีรายงานว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้พบว่ามี 8 คน รวมพระด้วยเป็น 9 คน จึงอยากฝากถึงพระว่า ให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหายเนื่องจากมีหลักฐานจำนวนมาก.-419-สำนักข่าวไทย

    บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์

    กทม. 16 ก.ย.-บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เกือบ 5 ล้าน แต่ยายไม่ฟัง ไม่เชื่อว่าโดนหลอก ไล่ตำรวจกลับไป แถมโทรฟ้องมิจฉาชีพว่าตำรวจมากวน สุดท้ายเข้าแจ้งความแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนง ตะโกนคุยกับคุณยายวัย 83 ปี ข้ามรั้วประตูบ้าน ว่า อย่าโอนเงินให้มิจฉาชีพอีก หลังธนาคารพบความผิดปกติ เนื่องจากคุณยายถอนเงินออกมาหลายล้านบาท จึงประสานงานไปที่ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 ให้แจ้งมายังตำรวจนครบาล เพื่อตรวจสอบการโอนเงินของคุณยายโดยด่วน ปรากฏว่า เมื่อตำรวจมาถึงบ้าน คุณยายไม่เชื่อ แถมยังคุยโทรศัพท์กับตำรวจปลอมในมือถือตลอดเวลา แล้วไม่เชื่อว่า ตำรวจที่มาหน้าบ้านเป็นตำรวจจริง จนตำรวจตัวจริงอ่อนใจ ทำได้เพียงแค่ประสานงานผู้นำในชุมชนให้ช่วยดูแลคุณยาย และเตือนเรื่องนี้ ล่าสุดคุณยายมาแจ้งความแล้ว เมื่อวันที่ 13 กันยายน แต่ยังไม่ได้เงินคืน ข้อมูลของตำรวจพบว่า คุณยายโอนเงินไปทั้งหมด 5 ครั้งครั้งแรกวันที่ 3 กันยายน ฝากเงินสดเข้าบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง 3.5 ล้านบาทวันที่ 4 กันยายน โอนเงินสดไป 400,000 บาทวันที่ […]

    ข่าวแนะนำ

    ศาลให้ประกัน “เจ๋ง ดอกจิก-ศรีสุวรรณ” เงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ

    กรุงเทพฯ 17 ก.ย. – ศาลให้ประกันตัว “เจ๋ง ดอกจิก-ศรีสุวรรณ” หลักทรัพย์คนละ 6 แสนบาท เงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ขณะเจ้าตัวเตรียมยื่นอุทธรณ์สู้คดีต่อ เชื่อศาลจะให้ความยุติธรรม ด้านอธิบดีกรมการข้าว มองเป็นกรรมของแต่ละคน ไม่ได้รู้สึกอะไร ให้เป็นตามเวรกรรม นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก เปิดเผยภายหลังฟังคำตัดสินว่า ตนเองเคารพคำตัดสินของศาล ซึ่งประเด็นที่จะเป็นแนวทางการต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ คือประเด็นที่ศาลมองว่าตนเองเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้ถูกลงโทษจำคุก 6 ปี แต่ส่วนตัวมองว่าตนเองไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะการแต่งตั้งของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นการแต่งตั้งเฉพาะตัว ซึ่งศาลยังไม่ได้ดูในรายละเอียด เพราะการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น เงินเดือน ซึ่งที่ผ่านมาตนเองไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับตำแหน่งดังกล่าว แต่ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกกังวลใจกับคำตัดสิน เพราะมองว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ขณะเดียวกันจะมีการต่อสู้ในประเด็นการเชื่อมโยงจำเลยทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์ โดยจะชี้แจงว่าตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีความเชื่อมโยงกับจำเลยอีก 4 คน เนื่องจากไม่เคยได้รับผลประโยชน์อะไรจากจำเลยทั้งหมด และเชื่อว่าคำตัดสินในศาลชั้นสูงจะให้ความยุติธรรมกับตัวเอง คำพิพากษาในวันนี้ศาลได้นำโทษคดีคาร์ม็อบ 2 คดี ในพื้นที่เมืองพัทยา และกรุงเทพมหานครเมื่อปี พ.ศ. 2564 […]

    แม่ใจสลาย รับร่างลูกสาววัย 2 เดือนถูกพิตบูลขย้ำ ส่งชันสูตร

    อุทัยธานี 17 ก.ย. – ครอบครัวเศร้า ติดต่อรับร่างลูกสาววัย 2 เดือน ส่งชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิต หลังถูกสุนัขพิตบูลลากไปขย้ำหัว ขณะแม่ไปเก็บของเก่าภายในโรงสี เจ้าของคาดเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของเล่น นายฉัตรมงคล สุวรรณเศรษฐ์ เจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอุทัยธานี พร้อมด้วยมารดาของ ด.ญ.กัญญาภัทร อายุเพียง 2 เดือน ผู้เสียชีวิตจากการถูกสุนัขพันธุ์พิตบูลกัด รวมถึงญาติ เดินทางไปรับศพที่โรงพยาบาลหนองฉาง จ.อุทัยธานี ก่อนนำร่างส่งชันสูตร หาสาเหตุอย่างละเอียดอีกครั้งที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ ทั้งนี้ เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลา 15.00 น. วานนี้ (16 ก.ย.) ที่โรงรถของบ้านหลังหนึ่ง พื้นที่ หมู่ 15 บ้านโรงสีใหม่ ต.ทุ่งโพ อ.หนองฉาง จ.อุทัยธานี โดยเมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพบร่างเด็กน้อย อยู่บริเวณรางระบายน้ำ เจ้าของบ้านนำร่างเด็ก ส่งโรงพยาบาลไปก่อนหน้านี้ แต่เสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยที่เกิดเหตุ ยังพบคราบเลือดและร่องรอยลากยาวราว 6 เมตร ไปถึงรางระบายน้ำ นอกจากนี้ ยังพบรถเข็นเด็ก พร้อมของเล่น […]

    ผู้ว่าฯ สระแก้ว ข้ามไปหารือผู้ว่าฯ บันเตียเมียนเจย ชาวกัมพูชารุกล้ำอธิปไตย

    สระแก้ว 17 ก.ย.-ผู้ว่าฯ สระแก้ว เดินทางข้ามไปหารือ ผู้ว่าฯ บันเตียเมียนเจย แก้ปัญหาชาวกัมพูชารุกล้ำอธิปไตยของไทย “บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว” บอกว่า ถ้าไม่มั่นใจ ก็ไม่ไป ก่อนเวลาประมาณ 10.00 น. นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว พร้อมผู้เกี่ยวข้อง ได้เดินทางจากฝั่งคลองลึกอรัญประเทศของไทย ข้ามไปบริเวณปอยเปต ของกัมพูชา เพื่อหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย ที่ตรวจคนเข้าเมืองกัมพูชา ปอยเปต เพื่อแก้ปัญหาชาวกัมพูชารุกล้ำอธิปไตยของไทย ในจุดหลังเส้นสีแดงบริเวณบ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว ซึ่งไม่ใช่พื้นที่ข้อพิพาท แต่เป็นอธิปไตยของไทย โดยมี อุม เรีย ไต ผู้ ว่าราชการจังหวัดมันเตรียมเวนเจ มารอต้อนรับที่กลางสะพานมีการทักทายกันอย่างเป็นกันเอง โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ยังได้ทักทายกับพลโทเป็กวันนา หัวหัวหน้าสำนักงานประสานงานชายแดนกัมพูชา- ไทย ความสัมพันธ์ที่ดีในช่วงที่ผ่านมาว่า พลโทเป๊กวันนา ก็เคยข้ามมารักษาพยาบาลที่ฝั่งไทย โดยก่อนเดินทางไปร่วมประชุม ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ให้สัมภาษณ์สั้นๆ ว่าถ้าไม่มั่นใจก็ไม่เดินทางไปเจรจาเพราะการหารือที่ขึ้นเป็นไปตามข้อตกลงของจากการประชุม คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย–กัมพูชา หรือ GBC.-สำนักข่าวไทย

    ไม่รอด! ศาลสั่งจำคุก “เจ๋ง ดอกจิก-ศรีสุวรรณ” กับพวก ร่วมกันรีดทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว

    17 ก.ย. – ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนัดฟังคำพิพากษา กรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา กับเจ๋ง ดอกจิก พร้อมพวกรวม 5 คน ร่วมกันเรียกรับทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว ด้าน “ศรีสุวรรณ” เผยมั่นใจและเชื่อมั่นในคำพิพากษาว่าศาลจะให้กลับไปทำหน้าที่เหมือนเดิม ล่าสุดศาลพิพากษาคุก “เจ๋ง ดอกจิก” 6 ปี ด้าน “ศรีสุวรรณ” พร้อมพวกโดนด้วยคนละ 4 ปี นายศรีสุวรรณ จรรยา นักร้องเรียน, นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมพวกรวม 5 คน เดินทางเข้ารับฟังคำพิพากษาในข้อหาเรียกรับทรัพย์สินจากอธิบดีกรมการข้าว ก่อนขึ้นฟังคำพิพากษานายศรีสุวรรณ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า คดีนี้เป็นคดีการเมืองที่ผู้มีอำนาจต้องการเตะตัดขา เพราะไม่ต้องการให้ทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง เพราะสิ่งที่ทำมานับ 10 ปี เป็นที่หวาดผวาของนักการเมืองและข้าราชการจำนวนมาก เรื่องร้องเรียนนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองหลายพรรค จบอนาคตการเมืองของนักการเมืองดังหลายคน จึงเป็นที่มาของการหาเหตุให้ต้องคดี โดยใช้เทคนิควิธีการ ซึ่งในภาษากฎหมายเรียกว่าล่อให้กระทำความผิด โดยการเอาถุงเงินไปแขวนหน้าบ้าน หากพฤติกรรมแบบนี้ถือเป็นความผิด อนาคตอาจนำไปใช้กันทั่วประเทศและก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายต่อประชาชน นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อว่า […]