นนทบุรี 25 พ.ค.-ปลัดพาณิชย์ ประชุมมอบนโยบายทูตพาณิชย์-พาณิชย์จังหวัด พร้อมภาคเอกชน ร่วมกันประเมินสถานการณ์ ทิศทางการส่งออกช่วงครึ่งปีหลัง ปรับแผนทำงานเร่งขับเคลื่อนส่งออกให้เป็นไปตามเป้าที่ 1-2% ย้ำลุย 350 กิจกรรม คาดสร้างรายได้เข้าประเทศเกือบ 2 หมื่นล้านบาท
นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์กล่าวภายหลังประชุมมอบนโยบายทูตพาณิชย์-พาณิชย์จังหวัด พร้อมภาคเอกชน ร่วมกันประเมินสถานการณ์ ทิศทางการส่งออกช่วงครึ่งปีหลัง โดยตั้งแต่ปลายปี 2565 เตรียมการผลักดันการส่งออกในปีนี้ เนื่องจากคาดการณ์ว่าตัวเลขจะติดลบ จากแนวโน้มปัจจัยแวดล้อมต่างๆที่กดดัน ซึ่งจากการหารือภายใต้ กลไก กรอ. พาณิชย์ ได้เห็นชอบร่วมกันที่จะต้องมีการจัดทำแผนรองรับ และกำหนดตลาดเป้าหมาย 4 ตลาด คือ ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ CLMV และจีน ซึ่งเป็นตลาดที่ยังมีศักยภาพท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยได้มีการตั้งคณะทำงาน War Room เร่งรัดการส่งออกไปยังตลาดดังกล่าว เพื่อลงลึกในรายละเอียดของแผนงาน
ทั้งนี้ ผลการดำเนินการภายใต้คณะทำงาน War Room ได้แก่ การจัดคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน เดินทางเยือนตลาดเป้าหมาย จำนวน 3 คณะ โดยคณะแรก เป็นการเดินทางเยือน ยูเออี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ที่ได้มีการพบหารือกับรัฐมนตรีแห่งรัฐประจำกระทรวงเศรษฐกิจของยูเอเอี ที่รับผิดชอบด้านการค้าต่างประเทศ เรื่องการจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (CEPA) ไทย – ยูเออี ซึ่งเอกชนทั้ง 2 ฝ่าย ได้มีการลงนามจัดตั้งสภาธุรกิจไทย – ยูเออี เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการค้าระหว่างกัน รวมถึงลงนามความร่วมมือด้านโลจิสติส์กับ DP World ของยูเอี คณะที่ 2 เยือนมณฑลยูนนาน เมื่อเดือนมีนาคม ซึ่งได้พบหารือผู้บริหารระดับสูงภาครัฐมณฑลยูนนานและนครคุนหมิงของจีน รวมถึงลงพื้นที่สำรวจด่านโม่ฮาน ทั้งด่านบกและด่านรถไฟ พร้อมหารือหน่วยงานท้องถิ่นของจีน เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับฤดูผลไม้ของไทย และคณะที่ 3 เยือนเวียดนาม ในเดือนเมษายน ซึ่งได้พบผู้บริหารระดับสูงภาครัฐของเวียดนาม ณ กรุงฮานอย หารือการอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้าไทยข้ามแดนเวียดนามสู่จีนตอนใต้ รวมถึงลงพื้นที่สำรวจเส้นทางขนส่งสินค้าผลไม้ ณ จังหวัดลางเซินด้วย
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังได้มีการเตรียมความพร้อมกับภาคเอกชนเพื่อเตรียมการผลักดันการส่งออกในครึ่งปีหลัง 2566 โดยทูตพาณิชย์ได้มีการทำการบ้านกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด มีการจัดประชุมรายภูมิภาคร่วมกันหลายครั้งก่อนการประชุมในวันนี้ เพื่อให้ได้แผนงานและกลยุทธ์ในการผลักดันการส่งออก ครึ่งปีหลัง 2566 ให้สามารถบรรลุเป้าส่งออกปี 2566 ทั้งปี ที่ตั้งร่วมกันที่ 1-2% หรือมีมูลค่ากว่า 293,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยผลประชุมประเมินสถานการณ์และจัดทำแผนผลักดันการส่งออก ครึ่งปีหลัง 2566 ในแผน 7 ภูมิภาค พร้อมกิจกรรมรวมทั้งสิ้น 350 กิจกรรม คาดการณ์ว่าจะช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศ รวมกว่า 550 ล้านเหรีญสหรัฐ หรือ ประมาณ 19,400 ล้านบาท โดยมีการกำหนดเป้าส่งออกแต่ละภูมิภาคพร้อมมูลค่าคาดการณ์ ประกอบด้วย ภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา เป้า +20% คิดเป็นมูลค่า 5,380 ล้านบาท เอเชียตะวันออกและโอเชียเนีย เป้า +2.2% คิดเป็นมูลค่า 4,163 ล้านบาท จีนและฮ่องกง แบ่งเป็นเป้าจีน +1% และเป้าฮ่องกง +2% คิดเป็นมูลค่ารวม 3,238 ล้านบาท ยุโรป เป้า +1% คิดเป็นมูลค่า 2,450 ล้านบาท อเมริกา แบ่งเป็น เป้าอเมริกาเหรือ +4.5% และเป้าลาตินอเมริกา +4% คิดเป็นมูลค่ารวม 2,380 ล้านบาท เอเชียใต้ เป้า +10% คิดเป็นมูลค่า 980 ล้านบาท อาเซียน เป้า+6.6% คิดเป็นมูลค่า 808 ล้านบาท
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะเดินหน้าเปิดตลาดใหม่ รักษาตลาดเดิม และฟื้นฟูตลาดเก่า ด้วยกลยุทธ์สำคัญ อาทิ การเร่งจัดคณะผู้แทนการค้าเพื่อขยายตลาดศักยภาพ การส่งเสริมการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน การจับคู่เจรจาธุรกิจทั้งออฟไลน์และออนไลน์ การผลักดันการส่งออกสินค้า BCG และสินค้านวัตกรรมใหม่ การส่งเสริมธุรกิจบริการมูลค่าสูง โดยเฉพาะดิจิทัลคอนเทนต์ HORECA ร้านอาหาร Thai Select และการปูพรมเจาะตลาดเมืองรอง โดยเฉพาะในอาเซียน สหรัฐฯ และยุโรป และ
หัวใจสำคัญ คือ การเชื่อมโยงการทำงานระหว่างทูตพาณิชย์กับพาณิชย์จังหวัด ซึ่งเป็นนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อผลักดันเศรษฐกิจฐานรากโดยเฉพาะ SMEs ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เนื่องจากทูตพาณิชย์ และพาณิชย์จังหวัด ต่างมีจุดแข็ง ของการเป็นคนในพื้นที่ โดยทูตพาณิชย์ในฝั่งตลาด และพาณิชย์จังหวัดอยู่ใกล้ชิดผู้ประกอบการ การทำงานร่วมกันเป็นทีมการตลาดของประเทศ จะเป็นการเสริมจุดแข็งซึ่งกันและกัน ในการผลักดันสินค้าท้องถิ่นของไทยที่มีอัตลักษณ์ มีนวัตกรรม และมีกระบวนการการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ออกสู่ตลาดต่างประเทศให้ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้การส่งออกของไทยในปีนี้ที่ตั้งร่วมกันไว้ที่ 1-2%
นายพจน อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทยกล่าวว่า จากก่อนหน้านี้ที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชนหรือกกร.ประเมินไว้ว่าตัวเลขการส่งออกของไทยในปีนี้จะขยายตัวเพียง 0-1% แต่จากการประชุมร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในวันนี้ตามแผนงานต่างๆหากสามารถร่วมกันอย่างจริงจังเชื่อว่าโอกาสตัวเลขส่งออกปีนี้น่าจะขยายตัวได้ 1-2 % ตามที่คาดการณ์กันไว้ แต่สิ่งที่ยังกังวลใจของภาคเอกชน คือ ปัจจัยผลกระทบของเดิม เช่น พลังงานสูง ค่าเงินบาทแข็งค่าและอีกหลายส่วนยังอยู่และคาดเดาลำบาก แต่สิ่งที่มาใหม่ เพื่อจะมีรัฐบาลใหม่ และเตรียมเดินหน้าปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทันที 450 บาทจะเป็นผลกระทบต่อภาคการค้าและอุคสาหกรรมรุนแรงมาก ดังนั้น ภาคเอกชนขอให้พรรคการเมืองที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลพิจารณาการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำบนพื้นฐานของกฎหมายและพิจารณารอบด้านก่อนใช้นโยบายนี้ เพราะภาคเอกชนเดิมและเอกชนใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนในไทยจะได้รับผลกระทบและไม่กล้าเข้ามาลงทุนในไทยแน่นอน รวมทั้งยังจะกระทบต่อภาคการเกษตรที่ต้องจ่ายค่าแรงเพิ่มแต่ขายสินค้าเกษตรเท่าเดิมหรือน้อยลงได้ จึงอยากเสนอแนะว่าจะต้องพิจารณาทุกให้รอบด้านก่อน.-สำนักข่าวไทย