กรุงเทพฯ 21 เม.ย.-ประธานหอการค้าไทย แนะรัฐเร่งลดค่าไฟฟ้าทันที ย้ำหากปล่อยยาวกระทบฟื้นเศรษฐกิจไทย หลังจากช่วงที่ผ่านมาภาคธุรกิจต่างออกมาโอดครวญถึงต้นทุนการผลิตที่สูง จนกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ประกอบกับเสียงสมทบของภาคประชาชนที่บอกว่าค่าไฟฟ้าแพงขึ้นอย่างผิดปกติ ทั้งที่พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าเหมือนเดิม กลายเป็นกระแสพอๆ กับประเด็นข่าวการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ จนต้องยอมรับว่าความรู้สึกของทุกคนมองค่าไฟฟ้าแพงขึ้นเป็นปัญหาหลักของประเทศในช่วงนี้ และต่างเปล่งเสียงไปยังผู้รับผิดชอบเพื่อถามหาแนวทางช่วยเหลือให้ชัดเจนมากกว่าที่เป็นอยู่
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงประเด็นนี้ได้อย่างน่าสนใจว่า วันนี้ค่าไฟฟ้าที่แพงเป็นปัญหาของทุกคนในประเทศ ไม่ใช่เฉพาะของธุรกิจเพียงอย่างเดียว หอการค้าฯ ร่วมกับ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้พยายามสื่อสารกับรัฐบาลถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องลดค่าไฟฟ้าลงในช่วงนี้ เพื่อให้ไม่เป็นปัญหาซ้ำเติมกับทุกภาคส่วนที่กำลังฟื้นตัวจากวิกฤติในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา วันนี้เห็นทิศทางที่ดีที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ยังติดล็อกกับปัญหาไฟฟ้าที่ทำให้ภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจท่องเที่ยวในกลุ่มของโรงแรมที่พัก ธุรกิจค้าปลีกอย่างห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ กำลังเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ค่าไฟฟ้าที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับช่วงนี้อากาศของไทยร้อนจัด หลายพื้นที่มีอุณหภูมิสูง ประชาชนเปิดเครื่องปรับอากาศและพัดลมช่วยคลายความร้อนจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่าไฟฟ้าของไทยเป็นอัตราก้าวหน้า คือ ยิ่งใช้มากก็ต้องยิ่งจ่ายแพงมากขึ้น โดยปัญหาดังกล่าว หอการค้าไทย และ กกร. ให้ความสำคัญมาก และได้เคยมีหนังสือไปยังรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องในการพิจารณาแนวทางการปรับค่าไฟฟ้าให้ลดลง จากกรณีที่ประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบค่า Ft เป็นอัตราเดียวกันสำหรับบ้านที่อยู่อาศัยและผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่น ๆ เท่ากับ 98.27 สตางค์/หน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 4.77 บาท/หน่วย
โดยครั้งนั้น กกร. มีความเห็นควรพิจารณาทบทวนค่า Ft งวดที่ 2 เพื่อเป็นการลดภาระของภาคประชาชนในครัวเรือนและภาคธุรกิจ ทั้งข้อเสนอที่ให้มีการคงระยะเวลาการคืนหนี้ให้ กฟผ. เป็นระยะ 3 ปี ตามงวด 1/2566 ข้อเสนอการพิจารณาใช้ราคาที่สะท้อนแผนการนำเข้า LNG ในช่วงเดือน พ.ค.-ส.ค.66 แทนการใช้ข้อมูลราคาของเดือน ม.ค.66 ซึ่งมีราคาที่สูงกว่า เพื่อบรรเทาผลกระทบราคาไฟฟ้า รวมถึงเร่งจัดตั้ง กรอ.พลังงาน เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมให้ความเห็นในการกำหนดนโยบายด้านพลังงาน
“ทราบว่า ปัจจุบันค่าไฟฟ้าในงวดที่ 2 (1 พฤษภาคม – 31 สิงหาคม 2566) กกพ. มีมติเห็นชอบให้ลดลงจาก 4.77 บาท/หน่วย เหลือ 4.70 บาท/หน่วย ถึงจะไม่ใช่ตัวเลขที่มากนัก แต่เป็นแนวโน้มที่ดีต่อภาคเอกชนและประชาชน และแม้จะอยู่ในช่วงรัฐบาลรักษาการก่อนการเลือกตั้ง แต่ภาคเอกชนอยากเห็นรัฐบาลกล้าตัดสินใจลดค่าไฟฟ้าทันที โดยไม่ได้มองว่าเป็นประเด็นที่จะใช้หาเสียงในช่วงเลือกตั้งหรือไม่ เพราะตอนนี้ถือเป็นปัญหาที่ทุกภาคส่วนเห็นตรงกันทั่วประเทศ และหากปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อไปจนถึงรัฐบาลชุดใหม่ คงจะกระทบต่อภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศอย่างมหาศาล” นายสนั่น กล่าว
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนมองว่า หากเร่งจัดตั้ง กรอ.พลังงาน พิจารณาปรึกษาหารือระหว่างรัฐบาล ภาคเอกชน และตัวแทนภาคประชาชน โดยทุกฝ่ายร่วมกันพิจารณาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าของประเทศร่วมกันใหม่ ก่อนสรุปเป็นตัวเลขในการลดค่าไฟฟ้า ชี้แจงรายละเอียดและความจำเป็นให้ทุกคนได้รับทราบ เชื่อว่าทุกภาคส่วนจะยอมรับและช่วยบรรเทาความเดือดร้อนที่จะเกิดขึ้นในระยะนี้ต่อไปได้ ขณะเดียวกันก็คงต้องเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลชุดถัดไปที่จะต้องสะสางปัญหาโครงสร้างค่าไฟฟ้าทั้งระบบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะเช่นนี้ โดยเฉพาะความสามารถของผู้ประกอบการไทยที่ยังแข่งขันไม่ได้ จากต้นทุนด้านพลังงานที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย.-สำนักข่าวไทย