กรุงเทพฯ 31 มี.ค.- การไฟฟ้านครหลวง หรือ MEA คาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดปี 2566 อยู่ที่ 9,282 เมกะวัตต์ ลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 1.7 จากภาวะเศรษฐกิจขยายตัวลดลง และเทรนด์การใช้พลังงานทดแทน แนะ “ปิด – ปรับ – ปลด – เปลี่ยน” เพื่อประหยัดค่าไฟ
นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง หรือ MEA เปิดเผยว่า MEA ได้คาดการณ์ความต้องการใช้พลังไฟฟ้าสูงสุด(peak) ในระบบจำหน่ายไว้ที่ 9,282 เมกะวัตต์ หรือลดลง 1.7% จากปีที่ผ่านมา โดยจะเกิดขึ้นในเดือน พฤษภาคม ในขณะที่หน่วยจำหน่ายไฟฟ้าของ MEA ทั้งหมดของปี 2566 คาดว่าจะมีจำนวน 51,651 หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 0.2% จากปีที่ผ่านมา ทั้งนี้แม้สถานการณ์ COVID-19 จะคลี่คลายแล้ว แต่เนื่องภาพรวมเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มขยายตัวลดลงเล็กน้อย รวมถึงเทรนด์การใช้พลังงานโซลาร์เซลล์ จึงทำให้การพยากรณ์การใช้ไฟฟ้ามีความใกล้เคียงกับ ปี2565
MEA พร้อมรับมือกับการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น โดยมีการปรับปรุงระบบจำหน่ายไฟฟ้า รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาใช้สนับสนุนระบบไฟฟ้าให้มีความมั่นคงและเพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้ไฟฟ้า รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่เป็นหัวใจสำคัญอย่าง ศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า SCADA (อ่านว่า สะ-คา-ด้า)(Supervisory Control and Data Acquisition) ทำหน้าที่เป็นระบบตรวจสอบ และวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ในการตรวจสอบสถานะ ตลอดจนวิเคราะห์การทำงานของระบบควบคุมตรวจจับข้อมูล แล้วส่งสัญญาณแจ้งเตือนแบบ Realtime
นายวิลาศกล่าวถึงแนวทางการประหยัดไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อน โดยหมั่นดูแล บำรุงรักษาเครื่องใช้ไฟฟ้าให้พร้อมใช้งาน และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้ โดยยึดหลัก “ปิด – ปรับ – ปลด – เปลี่ยน” ปิดไฟดวงที่ไม่ใช้ ปรับลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศอยู่ที่ 26-27 องศาเซลเซียส พร้อมเปิดพัดลมควบคู่ จะช่วยให้ประหยัดพลังงาน ปลดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้งาน เปลี่ยนไปใช้เครื่องปรับอากาศที่มีค่าประสิทธิภาพสูง และหมั่นล้างเครื่องปรับอากาศอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ไม่เปิด-ปิดตู้เย็นบ่อย ๆ พกกระติกน้ำแข็งไว้ดื่ม ไม่ควรกักตุนอาหารไว้ในตู้เย็นเกินความจำเป็น เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED เลือกใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้า (เบอร์ 5) และควรใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร ควรปิดสวิตช์และดึงปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าออกทุกครั้ง เมื่อไม่ได้ใช้งาน -สำนักข่าวไทย