กทม. 13 พ.ย.- “อนุสรณ์” เผยแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อคลายตัว ต้นปี 66 คาดเงินบาทเฉลี่ย 34.50 – 36.50 บาทต่อดอลลาร์
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการและกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในตลาดการเงินโลกเริ่มชะลอตัว หลายประเทศเริ่มมีสัญญาณสามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้เป็นไปตามเป้าหมายได้ แรงกดดันเงินเฟ้อลดลงอย่างมีนัยยสำคัญในหลายภูมิภาค ตลาดการเงินและเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว ความวิตกกังวลเศรษฐกิจโลกถดถอยคลายตัวและคาดการณ์ว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก 2.7-2.8% อัตราการขยายตัวของการค้าโล2.5-2.6% แม้นจะเป็นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและปริมาณการค้าของโลกที่ต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยในช่วงปี พ.ศ. 2553-2562 แต่ถือว่าเศรษฐกิจโลกไม่ได้เผชิญภาวะถดถอยใดๆ แต่อาจจะมีบางประเทศเท่านั้นที่ประสบภาวะถดถอยในปีหน้า ผลกระทบสงครามปูตินและยูเครนเบาบางลง สงครามไม่ขยายวงกว้างแต่อาจยืดเยื้อต่อไป
การเกินดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง ดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะเกินดุลในปีหน้า กระแสเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในอาเซียนและไทยทั้งภาคเศรษฐกิจจริงและตลาดการเงิน จะทำให้เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่า ค่อนข้างเร็วและแรงกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้เดิม เงินบาทจะทยอยปรับตัวแข็งค่าขึ้นในช่วงปลายปี 2565 และ ต้นปี 2566 โดยคาดว่าค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 34.50-36.50 บาทต่อดอลลาร์ในปี 2566 โดยอาจจะมีบางช่วงที่เห็นเงินบาททดสอบระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์ได้ กระแสเงินระยะสั้นไหลเข้าตลาดหุ้นพร้อมผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยภาพรวมที่ดี และ ราคายังไม่แพงนัก ทำให้ตลาดหุ้นในอาเซียนและไทยมีปัจจัยที่ดึงดูดเม็ดเงินจากต่างชาตินอกภูมิภาค คาดว่าอาจได้เห็น ดัชนีตลาดหุ้นทดสอบ 1,680-1,700 ในช่วงปลายปีหรือต้นปีหน้าได้
หากธนาคารแห่งประเทศไทยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปลายเดือนนี้มากกว่าที่ตลาดการเงินคาดการณ์ (ตลาดการเงินคาดการณ์การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายประมาณ 0.25%) โดยการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่าตลาดการเงินคาดการณ์จะผลทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก การปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่มีนัยยสำคัญต่อการควบคุมอัตราเงินเฟ้อในระยะสั้น ไม่มีผลต่อตลาดหุ้นโดยภาพรวมมากนัก แต่จะกระตุ้นให้หุ้นในกลุ่มธนาคาร การเงินและประกันน่าสนใจมากขึ้น อาจทำให้หุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และบริษัทที่มีโครงสร้างทางการเงินที่มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนสูงมีความน่าสนใจน้อยลง
การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อเสริมด้วยกับการที่ระบบธนาคารพาณิชย์ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม FIDF สูงขึ้น จากระดับ 0.23% เป็น 0.46% การที่ระบบธนาคารพาณิชย์ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสูงขึ้นทำให้ต้นทุนการดำเนินการสูงขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังเห็นว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวและต้องการให้ประเทศสามารถชำระหนี้สินกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน FIDF ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของหนี้สาธารณะให้หมดภายใน ปี พ.ศ. 2575 ขณะนี้หนี้กองทุน FIDF มีหนี้คงค้างจำนวน 672,614 ล้านบาท และจะมีภาระดอกเบี้ยจ่ายในช่วงงบประมาณปี 66-75 ประมาณปีละ 20,000 ล้านบาท การเรียกเก็บเงินนำส่งเพื่อจ่ายหนี้กองทุน FIDF เพิ่มจะให้สามารถหนี้ให้เสร็จสิ้นได้ภายในสิบปีข้างหน้า
ช่วงก่อนหน้านี้ แบงก์ชาติได้ปรับลดภาระหนี้ FIDF ลงให้กับธนาคารพาณิชย์ทำให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ลูกค้าได้ประมาณ 0.50% ต่อปี เมื่อมีการปรับเพิ่มภาระการจ่ายหนี้ FIDF ก็คาดว่า ดอกเบี้ยเงินกู้จะเพิ่มอีกอย่างน้อย 0.50-1% จากระดับดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่แล้ว คาดการณ์ได้ว่า ธนาคารพาณิชย์จะต้องพลักภาระการจ่ายค่าธรรมเนียมหนี้ FIDF มายังลูกค้าธนาคารหรือลูกหนี้ ทั้งในรูปค่าธรรมเนียม อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงขึ้น และ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงอาจได้รับต่ำกว่าที่ควรจะเป็นได้ ใน ช่วงสองสามปีข้างหน้า นโยบายการส่งเสริมให้มีการแข่งขันเพิ่มขึ้นและการเปิดเสรีมากขึ้นในภาคการเงินจึงมีความสำคัญต่อประชาชนผู้ใช้บริการ ทั้งในมิติการเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างทั่วถึงในราคาที่เป็นธรรม.-สำนักข่าวไทย