อานิสงส์บาทอ่อนดันยอดส่งออกเดือน ส.ค.โตถึงร้อยละ 7.5

นนทบุรี 26 ก.ย.- รมว.พาณิชย์ ปลื้มยอดส่งออกสินค้าไทยไปตลาดทั่วโลกยังเติบโตดี โดยเดือน ส.ค.65 ขยายตัวร้อยละ 7.5 ส่งผลให้ 8 เดือน ขยายตัวถึงร้อยละ 11 คิดเป็นมูลค่า 196,446.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ชี้แม้เงินบาทอ่อนค่าจะดีต่อส่งออก แต่กระทบยอดนำเข้าสินค้าที่จะแพงขึ้น ห่วงสงคราม 2 ประเทศยืดเยื้อ ทำให้กลุ่มพลังงานและน้ำมันแพง แต่ยังมั่นใจเป้าส่งออกปีนี้เกินร้อยละ 4 แน่


นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงตัวเลขการส่งออกสินค้าไทยไปตลาดทั่วโลกในเดือน ส.ค.65 อยู่ที่ 23,632.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 7.5 หรือคิดเป็นเงินบาท 861,169 ล้านบาท ทำให้ยอดส่งออกตลอด 8 เดือน ตั้งแต่ ม.ค.-ส.ค.65 มีมูลค่าถึง 196,446.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 11.0 ขณะที่ตัวเลขการนำเข้าในเดือน ส.ค.65 อยู่ที่ 27,848.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 21.3 ทำให้ตลอด 8 เดือน ยอดนำเข้าขยายตัวร้อยละ 21.4 หรือมีมูลค่า 210,578.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาท 6,635,446 ล้านบาท ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าในเดือน ส.ค.65 อยู่ที่ 4,215.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และช่วง 8 เดือน ไทยขาดดุลการค้าแล้วทั้งสิ้น 14,131.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ เหตุผลสำคัญแม้ตัวเลขการส่งออกของไทยจะสูงขึ้นในแต่ละเดือน แต่จากปัญหาสงครามรัสเซียและยูเครนยืดเยื้อ ส่งผลให้ต้นทุนในด้านพลังงานและแก๊ส รวมถึงอื่นๆ สูงขึ้น ทำให้ตัวเลขขาดดุลการค้าดูมากขึ้น จากการนำเข้าวัตถุดิบและอุปกรณ์เพื่อนำมาผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก จึงทำให้ตัวเลขขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น แต่จากแนวทางการทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชนที่จะเร่งเดินหน้าหาตลาดใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าเริ่มฟื้นตัว และปัญหาการแพร่เชื้อโควิดในหลายประเทศเริ่มดีขึ้น รวมถึงมีความต้องการที่จะเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น จึงเชื่อว่าปัจจัยสนับสนุนเหล่านี้จะดันการส่งออกของไทยในช่วงเวลาที่เหลือยังเป็นอัตราการเติบโตเป็นบวกอยู่ แม้ว่าก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์ตัวเลขส่งออกในปี 65 จะเติบโตได้เป็นบวกร้อยละ 4 แต่จากการติดตามตัวเลขส่งออกของไทยในแต่ละเดือนเป็นอัตราบวกได้ดี จึงคาดว่าตลอดปี 65 ยอดส่งออกของไทยจะบวกได้เกินกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ได้ แม้จะกังวลสงคราม 2 ประเทศที่ยังไม่รู้ว่าจะจบอย่างไรและตอนไหนก็ตาม


อย่างไรก็ตาม หากดูความต้องการสินค้าไทยในตลาดต่างๆ ทั่วโลกที่ยังขยายตัวได้ดีอยู่ ซึ่งแยกเป็นสินค้าหลัก 3 หมวด ประกอบด้วย สินค้าเกษตร สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรม

1.หมวดสินค้าเกษตร เดือน ส.ค. ติดลบร้อยละ 10.3% มียอดทำเงิน 77,088 ล้านบาท 8 เดือนแรกปีนี้ บวกร้อยละ 5.4 มูลค่า 635,241 ล้านบาท สินค้าเกษตรสำคัญ ได้แก่ 1) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และไก่แปรรูป ตลาดที่ขายตัวดีมาก คือ ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร จีน เนเธอร์แลนด์ และเกาหลีใต้

2) ข้าว ขยายตัว 7 เดือนต่อเนื่อง เดือน ส.ค. เป็นบวกร้อยละ15.3 ทำรายได้ให้ประเทศ 12,532 ล้านบาท ตลาดที่ขยายตัวดีคือ อิรัก สหรัฐฯ แคนาดามาเลเซียและเนเธอร์แลนด์


2.หมวดอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวดีมากต่อเนื่องถึง 18 เดือน เดือน ส.ค. ร้อยละ 27.6 ทำรายได้ให้ประเทศ 71,015 ล้านบาท 8 เดือนแรกปีนี้ ร้อยละ 29.1 ทำรายได้ 541,555 ล้านบาท สินค้าที่ขยายตัวสูง เช่น 1) น้ำตาลทราย ไอศกรีม 2) ดาวรุ่งโต 36 เดือนต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกัน คือ อาหารสัตว์เลี้ยง ตลาดที่ขยายตัวดี ได้แก่ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ 3) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ตลาดที่ขยายตัวดี ได้แก่ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา และตลาดใหม่ซาอุดีอาระเบีย และคาดว่าจะขยายตัวที่ตะวันออกกลาง 4) ผลไม้กระป๋องและแปรรูป 5) เครื่องดื่ม ขยายตัวได้ดีในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม กัมพูชา จีน ลาว และมาเลเซีย

3.หมวดสินค้าอุตสาหกรรม ภาพรวมบวก 18 เดือนต่อเนื่อง เดือน ส.ค. บวกร้อยละ 9.2 ทำเงินให้ประเทศ 680,471 ล้านบาท 8 เดือนแรกปีนี้ บวกร้อยละ 9 มูลค่า 5,167,178 ล้านบาท หรือ 5.1 ล้านล้านบาท สินค้าสำคัญ เช่น 1) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ตลาดขยายตัวดี คือ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เวียดนาม และสิงคโปร์ 2) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ 3) เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ 5) แผงวงจรไฟฟ้า 6) รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ

ส่วนตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน ในเดือน ส.ค. บวกถึงร้อยละ 29.6 สร้างเงินให้ประเทศ 56,849 ล้านบาท 8 เดือนแรกของปีนี้ เป็นบวกร้อยละ 21.1 ทำเงินให้ประเทศ 432,923 ล้านบาท โดยตลาดของประเทศมาเลเซีย กัมพูชา สปป ลาว มีตัวเลขการค้ากับไทยได้ดีตลอดและเพิ่มมากขึ้น ขณะที่การค้าผ่านแดนตัวเลขติดลบ เนื่องจากความสำคัญของการค้าผ่านแดนไปประเทศที่ 2-3 ทางบกลดความสำคัญลงไปบ้าง แต่เหตุผลสำคัญที่ช่วยเกื้อหนุนการส่งออกผ่านการค้าชายแดนไปเมียนมา มาเลเซีย สปป ลาว และกัมพูชา คือ สามารถทยอยเปิดจุดผ่านแดนกับ 4 ประเทศ เพิ่มขึ้นอีก 9 ด่าน ถึงวันที่ 20 ก.ย.65 มีด่านกับต่างประเทศ 97 ด่าน เปิดได้แล้ว 69 ด่าน และเราจะพยายามเปิดเพิ่มขึ้น ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จะประสานผู้ว่าราชการจังหวัด และฝั่ง สปป ลาว เมียนมา และมาเลเซีย ให้เปิดด่านที่เหลือกันต่อไป.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ค้น 17 จุดกรุงเทพฯ-ลพบุรี คุมตัว “หลวงพ่ออลงกต-หมอบี”

26 ส.ค.- ตำรวจสอบสวนกลาง ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด “กรุงเทพฯ-ลพบุรี” บุกรวบ “หลวงพ่ออลงกต” หลังพฤติกรรมชัดทุจริตยักยอกเงินบริจาค ขณะที่ “หมอบี” โดนด้วย หิ้วตัวเค้นสอบ เมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 26 ส.ค. มีรายงานว่าทางตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) นำโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผบช.ก. พล.ต.ต. วิทยา ศรีประเสิรฐภาพ ผบก.ป.พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปปพ.ต.อ.มนูญ แก้วก่ำ ผกก.1 บก.ป ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ลพบุรี เพื่อควบคุม หลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี และนายเสกสันน์ หรือหมอบี และพวก ตามหมายจับ ความผิด ม.147, 157 […]

ศาล รธน. สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก”

ศาล รธน. 25 ส.ค.-ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก” ชี้บิดเบือน-ทำเสียหาย ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเอกสารข่าว ระบุว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งพิจารณาคดี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม 2568 ไต่สวนพยานบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกมาให้ถ้อยคำ จำนวน 2 ปาก ได้แก่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางขวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เรื่อง ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ เมื่อเสร็จสิ้นการไต่สวนแล้ว ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้ผู้เข้าฟังการไต่สวนนำข้อมูลการไต่สวนไปเผยแพร่ และห้ามไม่ให้บิดเบือนข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายในลักษณะที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน อันเป็นคำสั่งศาลตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 […]

“แพทองธาร” รีโพสต์โต้คลิปบิดเบือน ยันศาลบอก “นั่งลงครับ”

กรุงเทพฯ 25 ส.ค.- “แพทองธาร” รีโพสต์สตอรี่ไอจี โต้ดรามาคลิปบิดเบือน ยันศาล รธน. บอก “นั่งลงครับ” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รีโพสต์สตอรี่ในอินสตราแกรมของสำนักข่าว VOICE TV ยืนยันไม่เป็นความจริง ต่อกระแสดรามาปล่อยคลิปเสียงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พูดว่า “นั่งลงลูก” ภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวคําปฏิญาณ ในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยาน คดีคลิปสนทนากับ ฮุน เซน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งในคลิปดังกล่าวมีข้อความระบุว่า ฟังชัดๆๆ ศาลบอกว่า “นั่งลงครับ” ไม่ใช่ “นั่งลงลูก” อย่างที่มีคนปั่น!! อย่ามั่ว อย่าบิดเบือนข่าว อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงเช้าวันนี้ (25 ส.ค.) นางสาวแพทองธาร จะดำเนินการเรื่องการส่งคำแถลงปิดคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากศาลนัดยื่นคำแถลงปิดคดีภายในวันนี้ ก่อนจะนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม เวลา 15.00 น.-316 -สำนักข่าวไทย

ปลัด มท. สั่งสอบด่วน ปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ

ไอคอนสยาม 25 ส.ค.- ปลัด มท. เผยยังไม่ได้รับรายงานปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ สั่งกรมการปกครองสอบด่วน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานว่า มีกลุ่มบุคคลสแกนม่านตาประชาชนและชักชวนให้เข้าไปใช้แอปพลิเคชันเพื่อแลกกับเงินหรือเหรียญในระบบ ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน แต่หากเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง กระทรวงมหาดไทยจะสั่งการให้กรมการปกครองดำเนินการแก้ไขและจัดการอย่างถูกต้องทั่วประเทศอย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบเห็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง สามารถแจ้งเรื่องมายังกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ทุกจังหวัดดำเนินการตรวจสอบตามข้อเท็จจริง ส่วนกรณีที่มีรายงานว่ายังมีการดำเนินการในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปลัดกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่าจะเร่งตรวจสอบทั้งที่สุราษฎร์ธานีและทุกจังหวัดที่ได้รับเรื่องร้องเรียน ทั้งนี้ การตรวจสอบจะพิจารณาว่าความผิดปกติเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลอื่น หากพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการตามระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยย้ำให้ประชาชนมั่นใจว่า กระทรวงพร้อมตรวจสอบอย่างโปร่งใส.-319 -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

แม่น้ำยมล้นพนังกั้นน้ำ ชาวบ้าน-พระ เดือดร้อน

สุโขทัย 28 ส.ค. – หลายพื้นที่เมืองสุโขทัย จมอยู่ใต้น้ำและขยายวงกว้าง แม่น้ำยมล้นพนังกั้นน้ำ ด้านหลังวัดปากแคว พระและชาวบ้าน ช่วยกันขนสิ่งของหนีน้ำ ภาพมุมสูง เผยให้เห็นสภาพน้ำท่วมสูงภายในวัดปากแคว และบริเวณโดยรอบ ทหารนำกำลังพล 22 นาย ลงพื้นที่ช่วยเหลือ พระวัดปากแคว ชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 2 หมู่ 4 ต.ปากแคว 4 ชุมชน ในเขตเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี ถูกน้ำท่วมขยายวงกว้าง รถยนต์จมน้ำหลายคัน ด้านหลังวัดปากแคว อำเภอเมือง แม่น้ำยมผนังกั้นน้ำล้นตลิ่ง มวลน้ำมหาศาล ทะลักเข้าท่วมเต็มพื้นที่ ระดับน้ำสูงรอบวัดเกือบ 2 เมตร ทะลักเข้าท่วม ไหลข้ามถนนจรดวิถีถ่อง ระยะทางกว่า 500 เมตร ต้องปิดกั้นถนนห้ามสัญจรไปมา พระครูปลัดสุวัฒนสาธุคุณ (พระอาจารย์นาค) เจ้าคณะตำบลบ้านกล้วย เจ้าอาวาสวัดพายชุมพล หลังทราบข่าว ระดับน้ำท่วม ในวัดปากแคว รีบนำอาหารกล่องพร้อมทั้งถุงยังชีพ เข้าไปถวายพระสงฆ์ 18 รูป ที่จำพรรษาอยู่ในวัดปากแคว เร่งหาผู้สูญหายที่แม่ฮ่องสอน […]

เร่งค้นหาอีก 3 ผู้สูญหายดินถล่มปางอุ๋ง ท่ามกลางความหวังของญาติ

28 ส.ค. – เข้าสู่วันที่ 2 ของเหตุดินโคลนถล่มบ้านปางอุ๋ง หมู่บ้านกลางหุบเขา อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ยังคงปฏิบัติการค้นหาผู้สูญหายอีก 3 ราย โดยระดมกำลังนับร้อยนายพร้อมเครื่องจักรเดินหน้าค้นหา ท่ามกลางบรรดาญาติที่เฝ้ารอด้วยความหวัง ล่าสุดวันนี้พบร่างผู้เสียชีวิตอีก 2 ราย ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้เพิ่มเป็น 6 ราย และยังสูญหายอีก 3 คน ขณะที่หลายครอบครัวต้องสูญเสียบ้านที่อยู่มาหลายสิบปีและยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นสร้างขึ้นใหม่ได้อย่างไร.-สำนักข่าวไทย

ประชุม ก.ตร. ล่ม เลื่อนไป 31 ส.ค. โผนายพล 136 ตำแหน่งสะดุด

กทม. 28 ส.ค.-ประชุม ก.ตร. ล่ม เลื่อนไป 31 ส.ค. หลัง “ภูมิธรรม” ถกลับ ผบ.ตร. นานหลายชั่วโมง เหตุมีหนังสือร้องเรียนจำนวนมาก ทำโผนายพล 136 ตำแหน่งสะดุด ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. เป็นประธานการประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 7/2568 ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 มีระเบียบวาระการประชุม 5 วาระ ประกอบด้วย วาระที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ /วาระที่ 2 รับรองรายงานการประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 6/2568 /วาระที่ 3 เรื่องที่เสนอเพื่อทราบ เรื่องที่ 1 รายงานการดำเนินการของ อ.ก.ตร.สืบสวนสอบสวน ที่ ก.ตร. มอบหมายให้ทำการแทน […]

กองทัพไทย เคาะสร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูชา เขต อ.อรัญประเทศ

สระแก้ว 23 ส.ค.-กองทัพไทย เคาะสร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูชา จุดแรกบริเวณหลักเขตที่ 50-51 เขต อ.อรัญประเทศ ระยะทาง 10 กม. เชื่อเริ่มดำเนินการได้เป็นรูปธรรมภายในปีนี้ พลเอกมนัส จันดี เสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทยพร้อมคณะลงพื้นที่เพื่อสำรวจแนวชายแดนตั้งแต่หลักเขตที่สี่ 48 ต่อเนื่องถึง 51 บริเวณพื้นที่บ้านป่าไร่ ถึงบ้านท่าข้าม ในเขต อ.อรัญประเทศ โดยการสำรวจดังกล่าวเพื่อเตรียมสร้างแนวกำแพงแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้ข้อสรุปเบื้องต้นบริเวณหลักเกณฑ์ที่ห้า 50 และ 51 ซึ่งไทยและกัมพูชาเห็นตรงกันแล้วในเรื่องเขตแดน จะสร้างเป็นรั้วถาวรเป็นจุดแรกระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร ขณะบริเวณอื่นๆ ซึ่งยังมีการอ้างสิทธิ และยังไม่มีข้อสรุปเรื่องเขตแดนที่ชัดเจน เบื้องต้นก็จะสร้างเป็นแนวรั้วชั่วคราวด้วยวิธีการตัดถนนเลียบตลอดแนวชายแดนและวางรั้วลวดหนามหีบเพลงสามชั้น พร้อมติดกล้องวงจรปิดในจุดที่สามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้เชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเกิดประโยชน์ในการเคลื่อนย้ายกำลัง รวมไปถึงการลาดตระเวนตรวจตรา นอกจากนี้การปรับพื้นที่ให้โล่งก็จะทำให้การลักลอบผ่านแดนตามช่องทางธรรมชาติยากขึ้น ซึ่งถือเป็นการสกัดกั้นทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์และปัญหาสแกมเมอร์ ได้ โดยการดำเนินการจะเริ่มต้นทันทีที่นำเรื่องเข้าขออนุมัติจากสภาความมั่นคงแห่งชาติและไม่ได้ติดขัดในเรื่องงบประมาณแต่อย่างใด เชื่อว่าภายในปีนี้น่าจะเห็นแนวรั้วกำแพงชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มต้นเกิดขึ้นได้ ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้จะมีการลงในรายละเอียดพื้นที่ต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนตามแนวชายแดนที่บางส่วนอาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่ก็เชื่อว่าประชาชนพร้อมที่จะเสียสละเพื่อความมั่นคงปลอดภัยของส่วนรวม พลตรี วันชนะ สวัสดี ผู้อำนวยการสำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรมยุทธการทหาร กล่าวเพิ่มเติมว่า การทำรั้วตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชาเกิดขึ้นจากข้อเรียกร้องของประชาชน […]